-
@ GaLoM ₿maxi
2025-05-17 15:15:42“…สิ่งที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจะเป็นปัจจัยแห่งชัยชนะในสงคราม ในโลกที่เชื่อมต่อถึงกันด้วยโทรทัศน์นับ 500 ช่องนั้น ไม่ใช่แรงงานหรือการผลิตขนาดใหญ่ดังเดิมอีกต่อไป หากแต่เป็นข้อมูลดิจิทัลที่ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ข้อมูลเหล่านี้ดำรงอยู่ในไซเบอร์สเปซ—มิติใหม่ที่ถือกำเนิดจากการแพร่ขยายไม่รู้จบของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ดาวเทียม โมเด็ม ฐานข้อมูล และอินเทอร์เน็ตสาธารณะ” — NEIL MUNRO
บทนี้เริ่มต้นด้วยการเปรียบเทียบอำนาจต่อรองของแรงงานในยุคอุตสาหกรรมกับยุคสารสนเทศ ผ่านเหตุการณ์สำคัญคือการนัดหยุดงานแบบนั่งประท้วงของคนงาน General Motors ในปี 1936–1937 ซึ่งแสดงถึงจุดสูงสุดของพลังการต่อรองของแรงงานในยุคนั้น ผู้เขียนชี้ว่า ยุทธวิธีแบบนี้รวมถึงการรวมกลุ่มของสหภาพแรงงานเป็นเพียงผลผลิตของโครงสร้างทางการเมืองมหภาคในยุคอุตสาหกรรมที่กำลังจะหมดอำนาจลงในยุคสารสนเทศเช่นเดียวกับแรงงานทาสในยุคก่อสร้างพีระมิด
สภาวะการเมืองมหภาคใหม่ทำให้ยุทธศาสตร์ของการ “ข่มขู่กรรโชก” (extortion) และ “การให้ความคุ้มครอง” (protection) กลับด้านโดยสิ้นเชิง รัฐในยุคอุตสาหกรรมสามารถเก็บภาษีจำนวนมากได้เพราะควบคุมประชากรและทรัพยากรได้ง่าย เช่นเดียวกับที่องค์กรอาชญากรรมสามารถข่มขู่ผู้ประกอบการในพื้นที่เดียวกันได้ แต่ในโลกที่มีเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ การสื่อสารไร้สาย และระบบเข้ารหัสแบบใหม่ ทำให้การคุ้มครองทรัพย์สินส่วนบุคคลทำได้ง่ายขึ้น ขณะที่การเก็บภาษีและการใช้ความรุนแรงแบบเดิม ๆ กลับทำได้ยากขึ้น
ผู้เขียนเน้นว่า ดุลยภาพระหว่างการกรรโชกกับการคุ้มครองเคยเอียงไปทาง “การใช้กำลัง” อย่างสุดโต่งในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นผลมาจากรัฐสวัสดิการและการรวมอำนาจในรูปแบบระบบราชการที่สามารถควบคุมได้ถึงกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ประชาชน แต่เมื่อเข้าสู่ยุคสารสนเทศ ความสามารถนี้จะหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง หัวใจของการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่ คณิตศาสตร์แห่งการคุ้มครอง ซึ่งมีรากฐานจากหลักการทางคณิตศาสตร์ง่าย ๆ ว่า การคูณง่ายกว่าการหาร กล่าวคือ การเข้ารหัสที่ใช้การคูณเลขเฉพาะขนาดใหญ่สามารถสร้างระบบป้องกันที่แข็งแกร่ง ขณะที่ผู้โจมตีต้องใช้ทรัพยากรอย่างมากในการถอดรหัส นี่คือรากฐานของระบบเข้ารหัสสมัยใหม่ ซึ่งช่วยให้เกิดขอบเขตใหม่ของการค้าบนโลกไซเบอร์ที่ปลอดภัยจากการแทรกแซงของรัฐ
เมื่อการคุ้มครองสามารถทำได้ด้วยเทคโนโลยี ความจำเป็นในการพึ่งพารัฐเพื่อความมั่นคงจะลดลง ผู้คนและองค์กรสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระมากขึ้น เศรษฐกิจแบบรวมศูนย์จะถดถอย และระบบตลาดที่ปรับตัวเองตามธรรมชาติจะเข้ามาแทนที่ ระบบเศรษฐกิจที่อิงอำนาจแบบบังคับจะถูกมองว่า “ดั้งเดิม” และไร้ประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ เทคโนโลยีในยุคนี้ยังเอื้อต่อการสร้าง ระบบซับซ้อนแบบปรับตัวได้(complex adaptive systems) ซึ่งเกิดจากการกระจายขีดความสามารถและการจัดระเบียบตัวเอง ระบบเหล่านี้จะมีพลังการเรียนรู้ ฟื้นฟู และพัฒนาในตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง แม้ผู้คนจำนวนมากยังยึดติดกับแนวคิดเรื่อง “ชาติ” และ “อำนาจรัฐ” แต่ผู้เขียนเสนอว่าโลกกำลังมุ่งไปสู่ทิศทางตรงกันข้าม ในอนาคต ผู้ที่ได้เปรียบไม่ใช่ “รัฐ” แต่คือ “ปัจเจกบุคคลผู้มีอธิปไตย” ซึ่งสามารถปกป้องทรัพย์สินของตนเองโดยไม่ต้องพึ่งรัฐ และมีอิสระในการเลือกที่อยู่ การทำงาน และการใช้ทรัพยากรโดยไม่ถูกควบคุมแบบเดิม
การเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจที่ใช้พลังงานหนักและระบบอุตสาหกรรม ไปสู่เศรษฐกิจที่อิงกับข้อมูลและระบบดิจิทัล ยังทำให้องค์กรธุรกิจมีขนาดเล็กลง คล่องตัวมากขึ้น และสามารถเคลื่อนย้ายได้ง่ายกว่าที่เคยเป็น ผลิตภัณฑ์และบริการจำนวนมากไม่ได้ขึ้นอยู่กับทรัพยากรธรรมชาติอีกต่อไป ซึ่งหมายความว่าอำนาจในการบังคับของรัฐแบบเดิมจะไม่สามารถตามทันพฤติกรรมของผู้ประกอบการยุคใหม่ได้
บทนี้จึงชี้ให้เห็นว่า ในยุคที่ตรรกะแห่งความรุนแรงกำลังเปลี่ยนไป รัฐไม่สามารถใช้อำนาจผูกขาดในการให้ความคุ้มครองหรือควบคุมทรัพยากรได้อีกต่อไป เทคโนโลยีได้ปลดล็อกศักยภาพใหม่ให้กับปัจเจกบุคคล และทำให้โครงสร้างอำนาจที่เคยมั่นคงในศตวรรษก่อน กำลังสั่นคลอนอย่างรุนแรง
สามารถไปติดตามเนื้อหาแบบ short vdo ที่สรุปประเด็นสำคัญจากแต่ละบท พร้อมกราฟิกและคำอธิบายกระชับ เข้าใจง่าย ได้ที่ TikTok ช่อง https://www.tiktok.com/@moneyment1971