-
@ HereTong
2025-06-16 01:18:32ไม่มีใครเถียงว่าภาพคลาสสิกของอาหารเช้าชาวอเมริกันยุคหนึ่งคือ “ซีเรียลในชามนม” วางอยู่บนโต๊ะไม้ที่มีแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างพร้อมรอยยิ้มเด็กชายหญิงในชุดนอนสะอาดสะอ้าน แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าเบื้องหลังภาพนี้ไม่ได้มาจากความน่ารักของครอบครัว หากแต่คือผลพวงของ “สงคราม การตลาด และรัฐ” ที่จับมือกันผลักดัน “นม” ให้กลายเป็นของขาดไม่ได้ในมื้อเช้า ตั้งแต่ครอบครัวธรรมดาไปจนถึงโรงเรียนทั่วสหรัฐฯ
เรื่องมันเริ่มจริงจังในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เมื่อหมอ John Harvey Kellogg แห่ง Battle Creek Sanitarium คิดค้นอาหารเช้าไร้เนื้อสัตว์เพื่อคนไข้ตามความเชื่อของศาสนา Seventh-day Adventist ซึ่งย้ำว่าวิถีชีวิตที่ดีต้องสะอาดทั้งกายและใจ เขาจึงสร้างอาหารประเภทธัญพืบอบกรอบที่ภายหลังกลายเป็น "ซีเรียล" โดยมีน้องชาย Will Keith Kellogg เป็นคนเห็นโอกาสทำตลาดใหญ่ เติมน้ำตาลลงไปเพื่อให้รสชาติถูกใจมหาชน แล้วกลายเป็นแบรนด์ซีเรียล Kellogg’s ในปี 1906
ปัญหาก็คือ กินซีเรียลเปล่าๆ มันแห้งติดคอ เด็กๆ ไม่ปลื้ม แม่บ้านก็ไม่สะดวกจะต้มน้ำซุปมาราดทุกเช้า นั่นแหละคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ “นม” โผล่เข้ามาในภาพ เพราะมันเย็น สด และเทใส่ชามได้ง่ายในไม่กี่วินาที พอซีเรียลฮิต นมเลยพ่วงขึ้นรถไฟความนิยมไปด้วยโดยไม่ต้องออกแรงมาก เรียกได้ว่าซีเรียลคือประตูทองที่พานมเข้าไปนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารเช้าของคนอเมริกันทุกบ้าน
แต่นั่นแค่จุดเริ่มต้น เพราะหลังจากนั้น สงครามโลกก็เข้ามาเปลี่ยนทุกอย่างอีกขั้น
ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการอาหารที่เก็บได้นาน มีพลังงานสูง และขนส่งง่ายเพื่อป้อนให้ทหารในแนวหน้า นมสดไม่ตอบโจทย์ แต่นมข้นหวานและนมผงกลับเป็นพระเอก ด้วยการสนับสนุนจากรัฐ ฟาร์มโคนมทั่วประเทศถูกกระตุ้นให้ผลิตนมจำนวนมหาศาล เกินความต้องการของคนในประเทศ โดยหวังว่าจะส่งออกไปเลี้ยงกองทัพทั่วโลก
ปัญหาคือ เมื่อสงครามจบ ฟาร์มวัวก็ยังอยู่ โรงรีดนมยังเปิด คนงานยังทำงาน แต่นมกลับล้นตลาด จะทุบทิ้งก็ไม่ได้ เพราะมันคือ “ธุรกิจที่รัฐสร้างขึ้นเอง” รัฐบาลเลยจำเป็นต้อง “สร้างความต้องการขึ้นมาใหม่” ด้วยกลยุทธ์ทางโภชนาการและการศึกษา
องค์การ USDA (กระทรวงเกษตร) และ National Dairy Council ถูกระดมทุนให้ทำวิจัยสนับสนุนว่านมคือสิ่งจำเป็นกับร่างกายมนุษย์ โดยเฉพาะเด็ก ผลลัพธ์ที่ออกมาก็มักจะสรุปในทำนองว่า “เด็กที่ดื่มนมสูง โตไว แข็งแรงกว่าคนที่ไม่ดื่ม” ทั้งที่ความจริง ไข่ไก่ก็ให้โปรตีนสูงกว่า และดูดซึมง่ายกว่าหลายเท่า แต่ไข่ไม่มีอุตสาหกรรมเบื้องหลังที่แข็งแกร่งเท่า “นม”
ในขณะเดียวกัน ระบบการศึกษาก็ถูกดึงเข้ามามีบทบาท โรงเรียนหลายแห่งเริ่มมี “โครงการดื่มนม” ที่รัฐจัดสรรงบประมาณให้ โดยบังคับใช้กับนักเรียนทั่วประเทศ พ่อแม่บางคนที่ไม่เคยให้นมลูกเลยในบ้าน ยังต้องยอมให้ลูกดื่มนมในโรงเรียน เพราะมันกลายเป็นมาตรฐานสาธารณสุขแห่งชาติ และภาพลักษณ์ของ “พ่อแม่ที่ดี” คือคนที่เลี้ยงลูกด้วยนมวัว
เมื่อรัฐผลักนมเข้ามาในชีวิตผู้คนจนลึกซึ้งขนาดนี้ ขั้นต่อไปคือการปลูกฝังทางวัฒนธรรม
เข้าสู่ยุค 1980s-1990s สมรภูมิการตลาดก็กลายเป็นแนวหน้าใหม่ของอุตสาหกรรมนม แคมเปญระดับตำนาน “Got Milk?” ถือกำเนิดขึ้นในปี 1993 โดย California Milk Processor Board ร่วมกับบริษัทโฆษณา Goodby Silverstein & Partners พวกเขาไม่ได้ขายแค่นม แต่ขาย “ภาพลักษณ์ของคนมีสุขภาพดีที่ดื่มนม” โฆษณาหลายตัวมีดารา นักกีฬา หรือคนดังยืนยิ้มพร้อมคราบนมที่ริมฝีปาก คำโปรยง่ายๆ แต่ฝังลึกในจิตใจคือ “Got Milk?”
มันไม่ได้แค่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค แต่สร้าง “จิตสำนึกทางโภชนาการแบบจอมปลอม” ขึ้นมาทั้งรุ่น ทุกคนเชื่อว่าการไม่มีนมในชีวิตเท่ากับขาดอะไรบางอย่างอย่างร้ายแรง
ในฝั่งซีเรียลเองก็ไม่ได้อยู่นิ่ง ผู้ผลิตพยายามขยายตลาดให้เข้าถึงเด็กๆ มากขึ้น ตั้งแต่กล่องลายการ์ตูน ไปจนถึงของเล่นแถมในกล่อง ทุกอย่างออกแบบให้ “ชวนเทนมลงซีเรียล” ได้ทุกเช้า แล้วแถมความหวาน ความกรุบกรอบ และความสะดวกสบายที่แม่บ้านสมัยนั้นต้องการ
นักประวัติศาสตร์อย่าง E. Melanie DuPuis เคยตั้งข้อสังเกตไว้อย่างคมคายในหนังสือ Nature’s Perfect Food: How Milk Became America’s Drink ว่าความสำเร็จของ “นม” ในสังคมอเมริกัน ไม่ใช่เพราะมันดีกว่าสิ่งอื่น แต่เพราะมันถูกผลักดันด้วยการเมือง นโยบายรัฐ และวัฒนธรรมที่บงการผ่านระบบอาหารอย่างแยบยล
การกินนมกับซีเรียลตอนเช้าจึงไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ แต่มันคือ “ผลผลิตของการจัดการความเชื่อ” ที่ต่อเนื่องมานานกว่าร้อยปี เราไม่ได้เลือกดื่มนมเพราะร่างกายต้องการ แต่เพราะระบบที่ใหญ่กว่าเราบอกว่าต้องดื่ม แล้วทุกคนก็เชื่อไปตามนั้นโดยไม่เคยตั้งคำถาม
และนั่นแหละเฮียว่า คือความเก่งของ “Fiat Food” ที่ทำให้อะไรบางอย่างที่เคยเป็นแค่ของเหลวจากวัว อาหารธรรมดาชนิดหนึ่งที่ดื่มกินกันมาหลายพันปีตั้งแต่สมัยมนุษย์เริ่มเลี้ยงแพะ แกะ วัว อาหารที่ดีชนิดหนึ่ง กลับกลายเป็น “พระเอกของมื้อเช้า” เป็นสิ่งจำเป็นยิ่งยวด ถ้าไม่ได้ดื่มแล้วจะไม่แข็งแรง และอาจจะป่วยได้ เป็นการก้าวข้ามไปสู่อาหารเทพ โดยไม่ต้องแข่งขันด้วยรสชาติ หรือคุณค่าทางโภชนาการเลยแม้แต่นิดเดียว
จับประเด็นดีๆนะครับคนรักนมอย่าเพิ่งหัวร้อน ใครๆก็ชอบนม ผลิตภัณฑ์จากนมก็อร่อย ทั้งวิป ชีส เนย บลาบลาบลา ดังนั้น นม ไม่ใช่ไม่ดี นมมีดีพอที่จะเป็น just a good food ชนิดหนึ่ง เป็นสิ่งที่มีสารอาหารดีพอจะเลี้ยงให้ลูกของสัตว์นั้นๆแข็งแรงเติบโตมาสู้โลกใบนี้ได้ แต่นมไม่ใช่อาหารที่ขาดไม่ได้ หรือ ไม่ได้กินแล้วจะไม่แข็งแรง การตีกรอบความเชื่อนี้มาจากระบบ ที่ต้องการจะจำหน่ายนมให้มากตามการผลิตนม ที่สร้างมามากมาย ในช่วงสงครามตามประวัติศาสตร์ที่ปรากฎ
นมถูกเพิ่มมูลค่าขึ้นไปมากกว่าที่เป็นจริง จากรัฐ โดยไม่ได้มีพื้นฐานมาสนับสนุนมูลค่าโภชนาการได้เท่ากับมูลค่าที่เพิ่มขึ้นไป และถ้าเทียบกับอาหารอื่นอย่างไข่ ปลาตัวเล็กที่กินทั้งกระดูก ที่มีมูลค่าการตลาดน้อยกว่านมหลายเท่านั้น มันกลับมีมูลค่าโภชนาการไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญ จนพอที่จะสรุปให้ประโยคที่ว่า "หากไม่ดื่มนมจะไม่สูงไม่แข็งแรง" ให้เป็นจริงได้
ถ้าจะยกเหตุผลอื่นๆที่ไม่ได้อยู่ในกรอบ การเพิ่มมูลค่า ปริมาณสารอาหาร ความสะดวกสบาย ความชอบ นานาจิปาถะตามรสนิยม แต่ให้อยู่ในกรอบ ความเป็นอาหารเทพชั้นยอดที่ขาดไม่ได้เด็ดขาดแล้วนั้น คำถามก็คือ เราต้องกลัวการไม่ได้ดื่มนมเพราะจะไม่แข็งแรง หรือเปล่า
ใคร ทำให้เกิดความกลัวนั้น และความกลัวมักทำให้เกิดอะไร
นั่นคือแก่นของเรื่องนี้ครับ #pirateketo #กูต้องรู้มั๊ย #ม้วนหางสิลูก #siamstr