-
@ techin
2024-10-17 11:58:21“Hello everyone”
มันแปลกดีนะที่ได้ยินเสียงของตัวเอง…ขอบคุณทุก ๆ คนที่เข้ามาฟังกันนะครับ ผมรู้ว่าเซสชั่นนี้ชื่อ The Rite of passage แต่นั้นเดี๋ยวผมจะยกไปพูดตอนท้าย ๆ เพราะว่าสิ่งที่ผมอยากจะพูดถึงก่อนเลยคือ
อะไรกันที่เป็นคำนิยามของเหล่า “บิตคอยเนอร์?”
สองปีก่อน ผมได้ออกเดินทางไปทั่วสหรัฐฯพลางถามคำถามดังกล่าวกับตนเอง ออกเดินทางไป เข้า Bitcoin Meetup ไปกว่า 30 งาน แล้วสิ่งที่ผมสนใจคือ
การเป็นบิตคอยเนอร์นั้นมันมีอะไรมากกว่าการถือ บิตคอยน์ อยู่ในมือ
มีผู้คนมากมายที่ทันทีที่พวกเขาเรียนรู้เกี่ยวกับบิตคอยน์แล้วหลงรักมันในพริบตา อะไรกันคือสิ่งที่บรรดาลปาฏิหารณ์นี้ผมได้แต่ครุ่นคิด นั่นทำให้วันนี้ผมจึงอยากจะมาเล่าให้ทุก ๆ คนฟังกันถึงการเดินทางในทริปที่ผมเรียกว่า สามเดือนของการเดินทางแห่ง Bitcoin ที่ผมพานพบด้วยการขี่มอเตอร์ไซต์ข้ามสหรัฐฯ ของผม
ทว่าผมอยากเล่าทุกคน ๆ คนให้ฟังก่อนว่าอะไรกันที่พาผมมาอาศัยอยู่ที่ประเทศไทย
ผมเกิดและโตที่ที่รัฐฟีลาเดเฟียร์ ไปอยู่ที่นิวยอร์คได้เจ็ดปี ก่อนที่เมื่ออายุได้ 29 ผมก็ตัดสินใจบินมาอยู่ไทยเพราะต้องการมองหาชีวิตใหม่ ๆ ซึ่งผมก็คิดนะ ว่าผมเจอมันแล้วที่นี่
ที่ ๆ ผมเรียกได้จากหัวใจว่า บ้าน**
"แล้วก็พูดไทยได้นิดหน่อยนะฮับ ตอนนี้ประเทศไทยเหมือนบ้านของผมแล้วฮะ” (เขายิ้มแล้วพูดเป็นภาษาไทยอย่างยิ้มแย้มจนเรียกเสียงปรบมือจากผู้ฟังที่รู้สึกอบอุ่นหัวใจ ก่อนที่จะกลับมาพูดเป็นอังกฤษ) แต่น่าเสียดายจริง ๆ ที่ผมไม่ได้รู้ศัพท์ไทยเยอะนัก เลยจะขอพูดต่อเป็นภาษาอังกฤษต่อแทนนะ
เมื่อปี 2020 ในระหว่างที่ผมต้องกักตัวอยู่บ้านเนื่องจากโรคระบาด ผมได้ไหลลงหลุมกระต่าย Bitcoin ไป หลังจากนั้นผมก็อยู่แต่ในทวิตเตอร์เพื่อพบเพื่อน ๆ บิตคอยเนอร์ด้วยกันในนั้น
ทำให้ในปี 2022 ผมจึงตัดสินใจกลับไปเยี่ยมประเทศบ้านเกิดอีกครั้ง เพื่อไป Bitcoin Meetup และกระทบไหล่กับเพื่อน ๆ บิตคอยเนอร์ที่รู้จักกันในทวิตเตอร์มาตลอดสองปีที่ผ่านมา ซึ่งผมได้เลือกยานพาหนะคู่ใจในทริปนี้ที่มีอิสระเสรีที่สุด มอเตอร์ไซต์ เป็นมอเตอร์ไต์คันเดียวกับโมเดลจำลองที่ภรรยาผมซื้อให้ มันตั้งอยู่บนโต๊ะผมอยู่เป็นปี ๆ กว่าผมจะสามารถซื้อของจริงและพามันออกเดินทางไปในทริปนี้ได้
แล้วผมก็ได้ขี่ไปกว่าสองหมื่นกิโลเมตร กินเวลากว่าร้อยวัน ได้ไป Bitcoin Meetup กว่า 30 ที่และน่าจะได้จับมือกับบิตคอยเนอร์เกินกว่าร้อยคน ก่อนหน้าที่จะไปต่อ ผมอยากบอกก่อนว่าทริปนี้มีแต่เรื่องเกี่ยวกับบิตคอยน์เท่านั้น ไม่มีไปงานเหรียญคริปโตอื่น ๆ
ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไป ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่าเหรียญบิตคอยน์กับเหรียญคริปโตอื่น ๆ มันต่างกันยังไงจนปี 2022 ผมถึงได้ตระหนักได้ว่าทั้งสองไม่เหมือนกันเลย ที่ผมอยากจะพูดคือทั้งทัศนคติและมุมมองต่อโลกของคนที่สนใจ เฉพาะบิตคอยน์ นั้นอยู่คนละแม่น้ำกับผู้คนหรือสิ่งที่ผมเจอในงานเหรียญคริปโตอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง
ดังนั้น ให้ผมได้เล่าว่าเหล่าบิตคอยเนอร์มีคุณลักษณะอะไรเหมือน ๆ กันโดยประกอบกับเรื่องราวการเดินทางของผมเพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่า
เมื่อผมพูดถึง บิตคอยเนอร์ ผมกำลังหมายถึงอะไร
คุณลักษณะแรกเลยคือบิตคอยเนอร์ให้ความสำคัญกับการ “ทำงานหนัก”และ “ความซื่อสัตย์”
Bitcoiner ให้คุณค่ากับสิ่งที่เรียกว่า Proof of Work ที่เชื่อในการทำงานหนักและความซื่อสัตย์
แล้ว... เจ้าวัวบนจอมันเกี่ยวอะไรกันหละ ถ้าให้เล่าก็ต้องท้าวความกลับไปที่หมุดหมายแรกที่ผมหยุดพัก มันคืองาน Beef Initiative งานแรกในเมือง Kerrville รัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นงานที่รวมเหล่าบิตคอยเนอร์ผู้เป็นสายเงินทองและสายเทคทั้งหลายมาเจอกับคนเลี้ยงวัว ซึ่งเกิดมาทั้งชีวิตผมไม่เคยเห็นที่ไหนที่เอาคนสองประเภทนี้มาจัดรวมอยู่ในที่เดียวกันมาก่อน แล้วผมก็ประหลาดใจหนักกว่าเดิมอีกที่เห็นพวกเขาเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ผมเลยคิดว่ามันต้องเป็นเพราะพวกเขาเชื่อในสิ่งเดียวกันคือ
เมื่อคุณปลอมแปลงบิตคอยน์ไม่ได้ฉันใด วัวก็ปลอมแปลงไม่ได้ฉันนั้น
เพื่อที่จะขุนมัน มันต้องมีที่ซุกหัวนอน คนเลี้ยงต้องตื่นเช้ามาให้อาหารดูแลมันร่ำไป ไม่มีใครเสกวัวให้โตในชั่วข้ามคืนได้ ซึ่งนั่นทำให้ผมตระหนักได้ว่าเหล่าบิตคอยเนอร์ได้นำคอนเซปต์ของ Proof of Work เข้าไปในทุกอณูของชีวิต ซึ่งมันช่างตรงกันข้ามกับสังคมกระแสหลักที่มักให้ค่ากับความฉาบฉวย สิ่งล่อตา หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้สารแห่งความสุขนั้นหลั่ง จนกระทั่งสูญสิ้น ซึ่งศรัทธาในตนเอง
คุณลักษณะถัดมาของพวกเขาคือ “ความรับผิดชอบ และรักษาซึ่งอธิปไตยของตนเอง”
พวกเขานั้นชอบที่จะรับผิดชอบชีวิตตัวเองในทุก ๆ ด้าน
ไม่ใช่แต่กับเรื่องเงินทองแต่กับสุขภาพและเรื่องอื่น ๆ ด้วย ผมได้พบเจอบิตคอยเนอร์หลาย ๆ คนที่อาจพูดไดเลยว่าพวกเขาเป็นเจ้าของชีวิตของตนเอง ซึ่งแตกต่างจากผู้คนในสังคมปัจจุบันที่เรามักจะเห็นคนโทษนุ่นนี่ หรือเอาแต่ชี้ไปที่สิ่งต่าง ๆ ว่าเป็นสาเหตุทั้งหมดของปัญหาในชีวิต แต่กับบิตคอยเนอร์นั้นพวกเขาเลือกที่จะเป็นนายชีวิตตน รับผิดชอบทุก ๆ อย่างของตนเองไม่มัวเสียเวลาโทษปี่โทษกลอง
พวกเขามักเริ่มแก้ไขปัญหาจากเรื่องใกล้ตัวที่สุดก่อนเสมอ ซึ่งนั่นก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการออกทริปนี้ของผม
เพราะตลอดช่วงปี 2020-21 แห่งโรคระบาด ผมมองเห็นแต่ความหวาดกลัวและสิ้นหวัง มีแค่เวลาที่ผมใช้กับบิตคอยเนอร์ในทวิตเตอร์และที่ Bitcoin Meetup เท่านั้นที่ผมมองเห็นความหวังและความเป็นเหตุเป็นผล พวกเขาเริ่มจากชุมชนของตนเองและคิดเสมอว่า วันนี้ฉันทำอะไรได้บ้าง ให้ชีวิตฉันดีขึ้น ให้ชุมชนของฉันดีขึ้น
แล้ว… เจ้ากองไฟบนจอนี่มีความหมายอะไรอีกหละ? มันเป็นภาพของหนึ่งในช่วงเวลาสุดประทับใจของผม ตอนที่ผมแวะพักในแคมป์ย่างสเต็กแคมป์หนึ่งระหว่างทริปผม ถ้าคุณคุ้นเคยกับงานแบบนี้ ก็คือเราก็จะมีเพื่อนบิตคอยเนอร์คนหนึ่งเป็นเชฟย่างสเต็กโดยมีสหายยืนล้อมร่วมทานสเต็กกันด้วยมือเปล่า ซึ่งที่ผมไปนี่ก็ทานกันไปกว่าเจ็ดคอร์ส แล้วความพิเศษอีกอย่างคือเราตั้งแคมป์กันสามคืนติดโดยไม่มีทั้งไฟฟ้าและสัญญาณมือถือ แค่ตั้งแคมป์และทานสเต็กกันอยู่เช่นนั้น
แล้วกองไฟของแคมป์เราก็ไม่เคยมอดเลยตลอดสามวัน
ตลอดแคมป์ผมไม่เห็นใครซักคนคนที่วานเพื่อนให้ไปหยิบไม้มาเติมที่กองไฟให้เลย พวกเขาแค่นั่งอยู่รอบกองไฟแล้วเห็นว่าฟืนมันเริ่มพร่อง จึงลุกไปหยิบไม้มาเติมกันเองเลยโดยไม่มีใครปริปากไหว้วาน นั่นทำให้ผมเห็นว่าชุมชนบิตคอยเนอร์นั้นมักจะจัดการกันเองภายในได้เป็นอย่างดี
ทุก ๆ คนในชุมชนมีหน้าที่เป็นของตนเอง ซึ่งเป็นอันรู้กันว่าหากเราจะได้รับประสบการณ์แสนวิเศษนี้ มันต้องเป็นเพราะทุก ๆ คนร่วมกันรับผิดชอบเพื่อมัน
และคุณลักษณะสุดท้ายเลยที่ผมอยากพูดถึงเลยคือ “พวกเขามักมีความเป็นผู้ประกอบการและหมั่นใฝ่รู้เสมอ”
บิตคอยเนอร์หลาย ๆ คนมีธุรกิจหรือโปรเจคอะไรซักอย่างเป็นของตนเองเสมอ พวกเขาเริ่มทำโดยไม่รีรอขอใคร ซึ่งผมเห็นพวกเขาโชว์ของกันที่ Bitcoin meetup กันตลอด ๆ
จริง ๆ ผมก็มีตัวอย่างอยู่ในกระเป๋ากางเกงผมอยู่นะ เช่น Bolt Keys ที่ผมถืออยู่นี่ ผมซื้อจากคนที่ออกบูธหน้างานนี้มาหลายอันเลยสำหรับโปรเจค “Rite of Passage” ของผม ซึ่งมันเอาไว้ใช้อนุมัติการโอนธุรกรรม Lightning Network ด้วยการแตะเจ้าเจ้านี่กับโทรศัพท์ที่รองรับ NFC
เอาหละ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับทุ่งหญ้าบนหน้าจอผมอีกหละ ที่คุณเห็นอยู่คือบ้านเต็นท์ถาวรที่ผมแวะพักระหว่างการเดินทางของผมในมิชิแกน กับคนนำทริป เขาชื่อคาร์ลซึ่งเป็นเจ้าของที่แห่งนี้ เปิดโฮมสเตย์ และในวันที่ผมไป ที่นี่มีแกะกว่าหกสิบตัวเดินว่อนเลย
หลัก ๆ เลยคือคาร์ลเคยเป็นช่างตัดต่อวีดีโอกลางลอสแองเจลิส แล้วเขาก็หลงใหลสิ่งที่เรียกว่า Permaculture ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์ของการตั้งรกรากและทำเกษตรกรรมเพื่อที่จะสร้างระบบนิเวศสมบูรณ์ที่คุณ สัตว์ และธรรมชาติอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนโดยไม่ต้องพึ่งพาการแทรกแซงจากทรัพยากรภายนอก ซึ่งผมเป็นคนแรกที่ได้ไปพักบ้านเขา แล้วปัจจุบันเขาก็เปิดให้บ้านลงแอป Airbnb เพื่อให้ผู้คนที่อาจจะอยากพักผ่อนยามสุดสัปดาห์ใจกลางป่าเขารัฐมิชิแกน สามารถไปเยี่ยมบ้านเขาได้ ซึ่งเขาก็เปิดบ้านลักษณะนี้อยู่อีกที่ที่ยุโรปด้วย
คาร์ลเป็นผู้ประกอบการแสนวิเศษที่หมั่นใฝ่รู้ และไม่ใช่แค่กับ Permaculture ตอนนี้เขาก็ยังหันมาสนใจบิตคอยน์แล้วด้วย
สำหรับผมทั้งหมดนี้นำไปสู่ “การแสวงหาซึ่งอิสรภาพ”
แล้วไม่ใช่อิสรภาพที่บัญญัติไว้ในตัวบทกฏหมาย แต่เป็น “อิสภาพทางจิตวิญญาณ”
ซึ่งในระหว่างการเดินทาง มันมีบางสิ่งที่สะกิดใจเมื่อมองออกไปที่ชาวอเมริกันนอก Bitcoin Meetup พวกเขาดูสูญสิ้นอิสรภาพไปเสียแล้วทั้ง ๆ ที่อยู่ในโลกเสรี
ผู้คนเหล่านั้นเหนื่อยล้า หงุดหงิด และพร้อมที่จะทำทุกอย่างให้หลุดพ้นจากทนทุกข์ พวกเขาดูหลงทางไปหมด และสูญสิ้นศรัทธาในตนเองไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องมีเพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพ พวกเขาอาจมีสิทธิเยี่ยงอิสระชนในทุกข้อ แต่มิอาจอยู่อย่างเสรีได้ เพราะขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
แล้วมันทำไมกันหละ? นั่น คือสิ่งที่ผมพบคำตอบจากการได้พูดคุยกับบิตคอยเนอร์ในทุก ๆ วัน
คุณอาจฟังเรื่องนี้ซ้ำไปหลายรอบแล้วในงาน มันเป็นเพราะเงินที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้มันถูกสร้างโดยผู้มีอำนาจ สิ่งที่รองรับมันมีเพียงอำนาจ และสรรพกำลังทางกายภาพของมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ตำรวจ กรงขัง และกองทัพ และด้วยหนี้ที่มันสร้างและสั่งสมมาตลอดร้อยปี ทำให้การที่จะดำรงไว้ซึ่งอำนาจของเงินนี้ต่อไปมีอยู่แค่ทางเดียว คือต้องใช้เงินและพลังงานมากขึ้นเรื่อย ๆ จนนำไปสู่การแย่งชิงอิสรภาพของพวกเราทุกคนเพื่อต่อชีวิตตัวของมัน
และนั่น ก็เป็นสิ่งที่ผมสัมผัสมันได้กับตาตัวเองยามขับมอเตอไซต์ผ่านทางหลวงและถนนทั่วอเมริกา ผมได้เห็นว่ามันดูดกลืนชีวิตและสังคมไปมากขนาดไหน ไม่ว่าจะผ่านร้านอาหาร ร้านค้า หรือร้านกาแฟ
ระบอบนี้ต้องการให้เราจำนน ทนทำงาน จ่ายภาษี ไม่แหกกฏและห้ามตั้งคำถาม และสำหรับคนส่วนใหญ่บนโลก มันได้บรรลุจุดประสงค์ของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เพราะหลาย ๆ คนในตอนนี้ไม่แม้แต่จะตั้งคำถามแล้วด้วยซ้ำ คุณอาจจะคุ้นเคยกับนิทานของช้างกับเชือกล่าม ที่เมื่อคุณล่ามเชือกช้างเด็กไว้กับต้นไม้ เมื่อมันโต ถึงมันจะสามารถฉีกเชือกทิ้งแล้วหนีไปได้มันก็จะไม่ทำ ตราบใดที่มันยังรู้สึกถึงเชือกล่ามนั้นมันก็จะไม่หนีไปไหน เชือกเส้นนั้นได้ก้าวข้ามขีดจำกัดทางฟิสิกส์ด้วยการล่ามลึกถึงวิญญาณ นั่นคือสิ่งที่ผมเห็นในดวงตาของชาวอเมริกันเกือบทุก ๆ คนที่ได้มีโอกาสพบเจอและพูดคุย
ซึ่งอีกด้านหนึ่ง ผู้ถือบิตคอยน์สามารถตื่นรู้และลุกขึ้นแสวงหาซึ่งอิสรภาพได้
มันดันมีปัญหาที่ระบบเศรษฐกิจและการเมืองในปัจจุบันนี้ ที่อยู่บนรากฐานของเงินกระดาษไม่อาจอยู่รอดได้หากผู้คนเป็นอิสระ มันต้องคอยพรากสิ่งเหล่านั้นจากมือเราไปอย่างช้า ๆ เพื่อมีชีวิตต่อไป แต่สำหรับบิตคอยน์เนอร์นั้น พวกเขารู้ในสิ่งที่สำคัญที่สุด คือในหนทางของการไฝ่หาซึ่งอิสรภาพของพวกตนนั้นคือพลังที่แสนสูงค่า พวกเขาคือผู้คนที่สร้างครอบครัวแสนสุขและคอยปลดโซ่ตรวนสังคมของพวกเขา
นี่เป็นสาเหตุที่การแสวงหาซึ่งอิสรภาพในระดับจิตวิญญาณนั้นสำคัญยิ่งสำหรับพวกเขา ปณิธานที่จะเริ่มที่ตนเองเพื่อสังคมที่ดีกว่าเดิม
สิ่งที่ผมเห็นผ่านการเดินทางของผมที่ได้พบเจอกับเหล่าบิตคอยเนอร์ คือพวกเขาจะทำงานและทำงานเพื่อแสวงซึ่งอิสรภาพ นำไปสู่การออกจากสิ่งเน่าเฟะบนโลกเงินกระดาษ และสร้างโครงการหรือบริษัทเล็ก ๆ ที่จะช่วยเปลี่ยนสังคมของเขา ซึ่งส่วนมากเราก็จะได้เห็นโครงการเหล่านั้นผ่าน Bitcoin Meetup
หลังจากจบทริปผมก็ได้แต่ครุ่นคิดว่า อิสรภาพทางจิตวิญญาณเหล่านั้นมันจะก่อเกิดในหัวใจของผู้คนได้อย่างไร
คำตอบคือมันเกิดขึ้นจากการท้าทายตัวเอง ออกจากพื้นที่ปลอดภัยของเรา และมองสิ่งต่าง ๆ ในมุมใหม่ ๆ ซึ่งนั่นเป็นคำตอบที่ต่อหน้าผมอยู่แล้วตลอดเวลา ทั้งในสมัยเด็ก ในประเทศไทย และในการเดินทางทริปบิตคอยน์ทั่วสหรัฐฯนี้
มันคือการเดินทาง
สำหรับผม การเดินทางคือเครื่องมืออันทรงพลังที่จะสร้างอิสรภาพแก่ผู้คน อย่างไรก็ดี พวกเขามักเข้าใจความหมายของการเดินทางผิดไป
การเดินทางที่แท้จริง จะนำคุณออกจากพื้นที่ปลอดภัยของคุณ และผลักดันขีดจำกัดของคุณ มันจะท้าทายสิ่งที่คุณเคยคิดว่ารู้ดีแล้ว เพราะในสถานที่ใหม่ ทุกอย่างแตกต่างออกไป คุณจะได้ยินแนวคิดใหม่ ๆ ลองชิมอาหารใหม่ ๆ และพบเจอผู้คนที่ใช้ชีวิตในแบบที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง
ตอนที่ผมยังเด็ก ผมโชคดีมาก เพราะพ่อของผมเป็นนักบินสายการบินพาณิชย์ และครอบครัวของเราชอบเดินทางมาก นั่นทำให้ครั้งแรกที่ผมออกนอกสหรัฐฯ คือเมื่อตอนผมอายุได้ 8 ขวบ พวกเราไปประเทศจีนกันเป็นเวลาสองสัปดาห์ ซึ่งการเดินทางครั้งนั้นได้ทำลายกรอบความคิดที่ผมมีต่อความเป็นจริงไปอย่างสิ้นเชิง และเมื่อผมกลับมาโรงเรียน ผมรู้สึกว่ามันยากยิ่งที่จะเชื่อมโยงกับเพื่อน ๆ เพราะผมได้เห็นประสบการณ์ที่ไม่มีใครในห้องเรียนจากแถบมิดเวสต์เคยเห็น พวกเขาส่วนใหญ่มักไปเที่ยวที่เม็กซิโก ปารีส ไม่ก็ยุโรป ซึ่งนั่นก็ถือว่าดีแล้วแล้วสำหรับพวกเขา
ทุกครั้งที่ผม ออกเดินทาง ความต้องการที่จะก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยของผมก็ยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนเมื่อผมมาถึงประเทศไทยอีกครั้ง กรอบความคิดทั้งหมดเกี่ยวกับการทำงานของโลกใบนี้ของผมก็พังทลายลงไปอย่างสิ้นเชิงในที่สุด
อินเตอร์เน็ตก็ได้เปลี่ยนการเดินทางของผู้คน ให้ออกห่างจากการเดินทางที่แท้จริงไป
ตอนนี้มันง่ายมากที่จะวางแผนการเดินทางทั้งทริปได้จากที่ที่คุณอยู่ ไม่ใช่แค่ในเชิงกายภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในความคิดของคุณด้วย
อัลกอริธึมและผู้คนรอบตัวเราอนุญาตให้เราสามารถสร้าง ประสบการณ์การเดินทาง ที่เราไม่ต้องก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยของเราเลย นั่นทำให้คุณจะไปเยือนแต่สถานที่ที่อัลกอริธึมแนะนำ เพราะมันรู้ว่าคุณจะชอบ หรือเป็นสถานที่ที่เพื่อนแนะนำให้คุณ คุณสามารถค้นข้อมูลได้จนทำนั่นทำให้คุณไม่ได้สัมผัสสถานที่เหล่านั้นจริง ๆ เพราะคุณได้ดูวิดีโอบน YouTube และซึมซับข้อมูลทั้งหมดมาก่อนแล้ว ทำให้เมื่อคุณไปถึงที่นั่น มันก็กลายเป็นแค่การเล่นซ้ำในสิ่งที่คุณจินตนาการไว้ว่าจะได้เห็นอยู่แล้ว
นี่แหละคือจุดที่ผมแบ่งแยกระหว่างการ ท่องเที่ยว และการ เดินทาง
การท่องเที่ยว คือการที่คุณไปในที่ต่าง ๆ แต่ยังคงอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง คุณทำสิ่งที่คุ้นเคย และวางแผนทุกอย่างล่วงหน้า ในขณะที่ การเดินทางคือการก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยของคุณ คุณมุ่งหน้าไปสู่สิ่งที่ไม่รู้จัก และยอมเสี่ยงกับอะไรบ้าง ผมจึงอยากสร้างบางอย่าง ณ ที่แห่งนี้ ผมอยากสร้างสิ่งที่ทำให้ผู้คนได้ออกเดินทาง
ดังนั้นทีมของผมและพันธมิตรของผมในประเทศไทยจึงได้ตกลงร่วมกันสร้างประสบการณ์ที่จะผสมผสานความสะดวกและปลอดภัยของ การท่องเที่ยว เข้ากับการผจญภัยและประสบการณ์สดใหม่จาก การเดินทาง**
แล้วนั่น ก็คือเหตุผลที่ได้ให้กำเนิด “Rite of Passage”
Rite of passage คือการผจญภัยที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับเพื่อบิตคอยน์และบิตคอยเนอร์ เราเรียกมันว่า ทริปที่เงินซื้อไม่ได้ เพราะทริปเหล่านี้ตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงคุณในแบบที่การไปเที่ยวพักผ่อนธรรมดาๆ ทำไม่ได้
ทุกส่วนของ Rite of passage ถูกออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนมุมมองที่คุณมีต่อโลก ให้ไม่ใช่แค่เพียงมองมันผ่านกฏหมาย แต่ได้มองมันผ่านการสนทนากับคนอื่นๆ ที่มีหัวใจดวงเดียวกับคุณ
หนึ่งในสิ่งสิ่งที่เราทำคือ เราจะไม่ค่อยแสดงกำหนดการล่วงหน้าหากไม่จำเป็น เพราะเราอยากให้ทุกประสบการณ์ที่คุณจะได้รับจะเป็นอะไรที่ใหม่หมด เพราะคุณไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง และเรามุ่งเน้นที่ประสบการณ์ท้องถิ่นอย่างแท้จริงกับกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อให้คุณได้สัมผัสกับสถานที่นั้นจริงๆ แทนที่จะเห็นแค่สิ่งที่ คนนำทริปติดสิบอันดับแรก เลือกไว้ให้
อีกทั้งเรายังคัดกรองทุกคนที่เข้าร่วมทริปเหล่านี้ เพราะเรามองหาคนที่ให้คุณค่ากับความขยันซื่อสัตย์ รับผิดชอบต่อตัวเอง และมีความเป็นอิสระ เรากำลังมองหาบิตคอยเนอร์ตัวจริง
ตลอดการเดินทางที่ผมได้ไปทั่วอเมริกา เพื่อพบปะกับบิตคอยน์เนอร์ ผมได้เรียนรู้ว่าการเป็นบิตคอยน์เนอร์มันมากกว่าการแค่ครอบครองเหรียญบิตคอยน์ มันเกี่ยวกับการใช้ชีวิตบนพื้นฐานของความขยัน ความรับผิดชอบต่อตนเอง และการมุ่งมั่นแสวงหาอิสรภาพอย่างไม่หยุดยั้ง
แล้วการเดินทางนี้ มิได้เกี่ยวกับการสะสมเงินหรือความสำเร็จเพียงอย่างเดียว มันส่วนตัวกว่านั้น**
มันคือการเดินทางแห่งการปลดแอกตัวเองจากขีดจำกัดในหัวของเราที่ฉุดรั้งเราไว้ แห่งการลงมือทำ ท้าทายตัวเอง ยอมรับสิ่งที่ไม่รู้ เป็นการเดินทางที่จะพาเราข้ามขีดจำกัดทั้งหลายได้ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เราทำในสามัญสำนึกเดิม ๆ ผมพบว่าหลายคนที่ผมได้เจอที่ถือบิตคอยน์นั้น ตื่นเต้นกับประสบการณ์การเดินทางของผมที่ผมเล่าอยู่มากกว่าตัวบิตคอยน์อีก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ก็ตาม
แล้วผมพบว่าการแสวงซึ่งอิสระภาพนี้แหละที่นำพาพวกเราเหล่าบิตคอยเนอร์มาพบเจอกัน
หลายคนที่ถือบิตคอยน์มองว่าบิตคอยน์เป็นรูปแบบของเงินที่ดีที่สุดผมเห็นด้วย มันคือเรื่องจริง แต่อย่างไรก็ตาม ผมมองว่ามันเป็นอะไรที่มากกว่านั้น สำหรับผม บิตคอยน์ได้นำพาผู้คนที่แสวงหาซึ่งอิสรภาพมาพบกัน เหมือนกับที่พวกเราทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่วันนี้
และการแสวงหาซึ่งอิสรภาพนี้แหละ ที่จะทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น
ขอบคุณครับ
บรรยายโดย Captain Sidd แปลและเรียบเรียงโดย Techin