-
@ HereTong
2025-06-17 05:54:52ปี 1937 — บริษัท Hormel Foods Corporation ในเมืองออสติน รัฐมินนิโซตา สหรัฐฯ ชายคนหนึ่งชื่อ Jay C. Hormel ลูกชายของผู้ก่อตั้งบริษัท มีไอเดียแสนทะเยอทะยานว่า “อยากทำผลิตภัณฑ์จากหมู ที่เก็บได้นาน ไม่ต้องแช่เย็น และไม่แพง”
เพราะตอนนั้น หมูเหลือเยอะ โดยเฉพาะ “หัวไหล่หมู” ที่ขายไม่ออก เพราะมันไม่ใช่ชิ้นเนื้อพรีเมียมที่คนอยากซื้อไปทำอาหาร เจย์เลยทดลองบดเนื้อไหล่หมู เติมเกลือ น้ำตาล สารกันเสีย โซเดียมไนไตรต์ และสิ่งสำคัญสุดคือ เจลาตินจากน้ำต้มกระดูก เพื่อให้เนื้อเกาะตัว ไม่แห้ง และอยู่ได้นานโดยไม่ต้องแช่เย็น
ผลลัพธ์คือ หมูกระป๋อง 340 กรัมในกล่องสี่เหลี่ยม พร้อมเปิดฝาดึงด้วยมือ ไม่ต้องใช้ที่เปิดกระป๋อง ชูความ ราคาถูก เก็บง่าย พกพาสะดวก และไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่มเติม ซ่อนความของเหลือเอาไว้เงียบๆ
และเพื่อให้คนจำได้ง่าย บริษัทจัดประกวดตั้งชื่อ และผู้ชนะเสนอคำว่า “Spam” = Spiced Ham (แต่ไม่มีใครรู้จริงๆ ว่าย่อจากอะไรแน่) แค่ “สั้น จัดจ้าน และจำง่าย” ก็พอ
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939 สหรัฐฯ ยังไม่เข้าสงครามเต็มตัว แต่เริ่มเตรียมเสบียงสนับสนุนพันธมิตร และ Spam กลายเป็นของขวัญจากพระเจ้า เพราะ เก็บได้นานหลายปี ไม่ต้องแช่เย็น น้ำหนักเบา เปิดง่าย ไม่เสียง่ายแม้เจอฝุ่น โคลน หรือไอร้อนจากปืนใหญ่
รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มจัดสั่ง Spam ให้กับกองทัพในสัดส่วนที่มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะทหารแนวหน้าในยุโรปและแปซิฟิก เช่น ฮาวาย, ฟิลิปปินส์, กวม, และเกาหลี ระหว่างสงคราม Hormel ผลิต Spam มากถึง 15 ล้านกระป๋องต่อสัปดาห์ และส่งออกไปมากกว่า 100 ล้านกระป๋อง ภายในเวลาไม่กี่ปี
Jay C. Hormel ถือว่ามีบทบาททางสังคมและการเมืองอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
เขาเคยเป็นสมาชิกของ America First Committee ซึ่งเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีอิทธิพลมากในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกลุ่มนี้มีเป้าหมายคือ “ต่อต้านการที่อเมริกาจะเข้าไปร่วมสงครามในยุโรป” สมาชิกของกลุ่มนี้มีทั้งนักธุรกิจใหญ่ สื่อมวลชน นักวิชาการ รวมถึงชาร์ลส ลินด์เบิร์ก (นักบินชื่อดัง) เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลเชิงความคิดและการเมืองในช่วงปลายยุค 1930s
แม้ในตอนแรก Hormel จะมีแนวคิดไม่เห็นด้วยกับการเข้าสงคราม แต่พอสงครามเริ่มต้นจริง และสหรัฐฯ ต้องส่งทหารและเสบียงออกไปรบ เขาก็ “ปรับตัวทันที” และกลายเป็นหนึ่งในผู้จัดหาอาหารรายใหญ่ให้กองทัพ โดยเฉพาะ Spam ที่ผลิตส่งเป็นล้านกระป๋องต่อสัปดาห์ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางทำได้ถ้าไม่มีความสัมพันธ์และการประสานงานกับภาครัฐโดยตรง
หลังสงครามโลกสิ้นสุดในปี 1945 สิ่งที่รัฐบาลและภาคธุรกิจต้องเจอคือ จะทำยังไงกับโรงงานผลิตอาหารที่เคยทำเพื่อ “เลี้ยงทหารนับล้าน” แต่ตอนนี้ไม่มีสงครามแล้ว? Hormel ไม่ยอมให้ Spam หายไปจากโต๊ะอาหารโลกง่ายๆ แผนการตลาดที่ฉลาดมากของพวกเขาคือ 1. “Sell the nostalgia” ขายความทรงจำ! คนอเมริกันที่เป็นทหารผ่านศึก กลับมาใช้ชีวิตปกติ แต่ก็ยังคุ้นเคยกับ Spam อยู่แล้ว ก็ขายให้พวกเขานั่นแหละ 2. “ผูกกับอาหารเช้า” Hormel ทำสูตร “Spam and eggs” และโฆษณาว่าเป็นอาหารเช้าที่ให้พลังงาน ย่อยง่าย และเหมาะกับทุกครอบครัว 3. เจาะตลาดประเทศที่ได้รับ Spam ระหว่างสงคราม ฟิลิปปินส์, ฮาวาย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, อังกฤษ กลายเป็นตลาดหลัก บางประเทศพัฒนาเมนูท้องถิ่นกับ Spam เช่น ฟิลิปปินส์ Spam silog (Spam + ข้าว + ไข่ดาว), เกาหลี 부대찌개 (Budae-jjigae) หรือหม้อไฟทหาร, ญี่ปุ่น Spam onigiri, ฮาวาย Spam musubi (สแปมวางบนข้าว ปิดด้วยสาหร่าย) 4. สร้างแบรนด์ให้รัก Hormel สนับสนุนการจัดงานเทศกาล Spam (เช่น Spam Jam) และทำให้แบรนด์กลายเป็น Pop Culture ของอเมริกา เพื่อโปรโมตแบรนด์ให้เป็นของอเมริกันจ๋า ทั้งน่ารัก ทั้งเท่ ทั้งกินง่าย และกลายเป็นความภูมิใจของชนชั้นกลาง
ระหว่างปี 1937–1946 Spam สร้างชื่อให้ Hormel อย่างถล่มทลาย ถึงขั้นรัฐบาลโซเวียตยังเคยร้องขอให้สหรัฐฯ ส่ง Spam เข้าโซเวียตเพื่อเลี้ยงทหารแนวหน้า โดย นายพล Dwight D. Eisenhower (ต่อมาคือประธานาธิบดีสหรัฐฯ) เคยกล่าวว่า “I ate my share of Spam along with millions of other soldiers. I’ll even confess to a few unkind remarks about it—uttered during the strain of battle... But as former Commander in Chief, I believe I can still see Spam in my dreams.” (ฉันกิน Spam มากพอๆ กับทหารหลายล้านคน แม้จะเคยบ่นบ้าง แต่ในฐานะอดีตแม่ทัพใหญ่...ฉันยังฝันเห็นมันเลย)
Jay C. Hormel ไม่ใช่แค่คนขายหมู แต่เขาเป็นนักวางระบบอุตสาหกรรมขั้นเทพ สามารถยกระดับกิจการท้องถิ่นของพ่อให้กลายเป็นบริษัทอาหารที่ส่งออกระดับโลกได้ เขาเป็น early adopter ของสิ่งที่เรียกว่า vertical integration คือควบคุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่ฟาร์ม โรงฆ่าสัตว์ โรงงาน บรรจุภัณฑ์ จนถึงการขนส่งและการตลาด
ในปี 1970s รายการตลกชื่อดังของอังกฤษอย่าง Monty Python’s Flying Circus ได้เอา Spam มาเล่นมุกในตอนหนึ่ง โดยฉากคือร้านอาหารที่ทุกเมนูมี Spam อยู่ในนั้น แล้วลูกค้าพยายามสั่งอาหารโดยไม่เอา Spam แต่ร้านไม่ยอม เพราะ “เมนูเรามี Spam ทุกอย่าง!” จนเสียงลูกค้ากับแม่ค้ากลายเป็นการโต้เถียงอันแสนตลก และมีนักแสดงแต่งเป็นไวกิ้งยืนร้อง “Spam, Spam, Spam, Spam...” ซ้ำๆ อยู่ด้านหลังแบบไม่รู้จบ https://youtu.be/anwy2MPT5RE?si=-68WQeng47lhJENJ
ฉากนั้นกลายเป็นตำนานในโลกตลก และคำว่า “Spam” ก็เริ่มถูกใช้เป็นคำสแลงหมายถึง “ของที่ซ้ำซาก ไร้สาระ รบกวน” ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นคำที่เราใช้เรียกอีเมลหรือข้อความขยะนั่นเอง
จะว่าไปแล้ว Spam ถือเป็น “สินค้าที่ครอบงำและเปลี่ยนแปลงอาหารของโลกอีกตัวนึง” อย่างแท้จริง จากเศษหมูไร้คนซื้อ → สินค้าแห่งนวัตกรรมอาหาร → เสบียงสงคราม → อาหารเช้าคลาสสิก → วัฒนธรรมท้องถิ่น → Meme ตลก → และสุดท้ายก็กลายเป็นคำด่าบนอินเทอร์เน็ต
Jay C. Hormel ไม่ได้เป็นนักการเมือง แต่เขาเป็น “นักอุตสาหกรรมที่มีบทบาททางการเมือง” โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านของประเทศจาก “ไม่เอาสงคราม” ไปสู่ “ต้องชนะสงคราม”
เขาอาจเริ่มจากแนวคิด “อย่ายุ่งเรื่องคนอื่น” แต่พอเห็นว่าโอกาสมา เขาก็เปลี่ยนโหมดทันที และทำให้ Spam กลายเป็นเสบียงระดับชาติ แบบนี้แหละเฮียถึงบอกว่า “สงครามทำให้คนธรรมดากลายเป็นตำนาน” ...หรือไม่ก็ “สงครามทำให้ธุรกิจธรรมดากลายเป็นธุรกิจผูกขาดที่ไม่มีใครเลิกกินได้อีกเลย”
Spam ไม่ใช่แค่อาหารกระป๋อง แต่เป็นเครื่องมือทางภูมิสงคราม อุตสาหกรรม และการตลาด จากห้องครัวทดลองเล็กๆ ในมินนิโซตา กลายเป็นไอเท็มในสนามรบระดับโลก และสุดท้าย…ก็กลายเป็นทั้ง อาหารในตู้, มุกในมุขตลก, และ คำด่าบนโลกออนไลน์ ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากคำเดียว... "หมูมันเหลือ"
#pirateketo #กูต้องรู้มั๊ย #ม้วนหางสิลูก #siamstr