-

@ Mr.Note
2025-04-22 00:00:48
GM #siamstr Why Has Nobody Told Me This Before มองโลกผ่านมุมจิตวิทยา เพื่อตั้งรับและก้าวผ่านปัญหาในชีวิตที่โยนบททดสอบอันหนักหนามาให้ ของ Dr.Julie Smith เป็นหนังสือ📖ที่อ่านแล้วสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และให้คุณเลือกทำพฤติกรรมที่ดีขึ้นและเข้าใจเกี่ยวกับตัวเอง ผมขอสรุปคร่าวๆดังนี้
1. ด้านที่มืดมน บทที่ 1-5
- การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ความรู้สึกเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครมีความสุขตลอดเวลา
- ประสบการณ์ในชีวิตล้วนประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง ปัจจัยเหล่านั้นส่งผลกระทบต่อกันและกัน เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้ แต่สามารถใช้ประโยชน์จากปัจจัยที่ควบคุมได้ เพื่อชี้นำการเปลี่ยนแปลงตามที่ต้องการ
- อคติเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อคติทางความคิดเชิงลบสามารถทำให้ภาวะจิตตกรุนแรงขึ้นได้ ให้เว้นระยะห่างจากความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัว ด้วยการทำความเข้าใจอคติ มองให้ออกเมื่อมีอคติทางความคิดที่เกิดขึ้น และระบุวันว่าคือ อคติ ไม่ใช่ความจริงเป็นจริง
- ต้องฝึกฝนการจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน และให้ความสำคัญกับทิศทางที่ต้องการเดินหน้าต่อไป รวมถึงความรู้สึกที่อยากสัมผัสและสิ่งที่อยากทำให้สำเร็จด้วย
- ให้ความสำคัญกับการตัดสินใจที่ดี ไม่ใช่การตัดสินใจที่สมบูรณ์แบบ การตัดสินใจที่ดีพอจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง และลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆแต่ยั่งยืน
- เมื่อเข้าใจปัญหา ให้คุณใช้มันเป็นตัวช่วยในการค้นหาจุดหมายที่ต้องการไปให้ถึงและจดจ่ออยู่กับเส้นทางข้างหน้า
- การออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญแล้วคุณจะต้องทำอย่างสม่ำเสมอ
- ความสัมพันธ์ของการนอนกับสุขภาพจิตเป็นความสำคัญแบบสองทางให้ความสำคัญกับการนอนช่วยให้สุขภาพจิตดี
- อาหารที่คุณส่งไปเลี้ยงสมองมีอิทธิพลต่ออารมณ์ โดยอาหารเมดิเตอร์เรเนียน อาหารญี่ปุ่นและอาหานอร์เวย์เป็นแบบดั้งเดิมที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพจิต
2. แรงจูงใจ บทที่ 6-9
- การควบคุมแรงจูงใจ คือการพัฒนาความสามารถในการทำสิ่งที่สำคัญต่อคุณมากที่สุด แม้คุณไม่อยากทำก็ตาม
- จงลงมือทำสิ่งที่สำคัญและส่งผลดีต่อสุขภาพของคุณทันทีอย่ารีรอจนกว่าจะรู้สึกอยากทำ
- เราไม่สามารถคาดหวังจะให้มีแรงจูงใจได้ตลอดเวลา แต่ถ้าเราหมั่นทำพฤติกรรมใหม่ให้มากพอมันจะกลายมาเป็นนิสัย
- ให้รางวัลตัวเล็กน้อยระหว่างทางเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับตัวเอง
- เริ่มต้นด้วยการทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และพร้อมที่จะซื่อสัตย์กับตัวเอง คุณอาจมีส่วนทำให้เกิดปัญหา พยายามเข้าใจปัญหาอย่างทะลุปรุโปร่ง จะทำให้คุณหาทางออกได้ง่ายขึ้น
3.ความเจ็บปวดทางอารมณ์ บทที่ 10-13
- อารมณ์ไม่ใช่ศัตรูหรือมิตรของคุณ คุณมีอำนาจในการควบคุมสภาวะทางอารมณ์ของตัวเอง บางครั้งจะต้องปล่อยให้มันพัดผ่านคุณไปตามธรรมชาติของมัน
- เมื่อคุณรู้สึกถึงอารมณ์ จงระบุชื่อของมัน พยายามระบุชื่อขออารมณ์นั้นด้วยรายละเอียดที่มีมากกว่าแค่สุขหรือเศร้า ปล่อยให้อารมณ์เกิดขึ้นและปลอบโยนตัวเองให้ผ่านพ้นมันไปได้ ไม่ใช่การพยายามปิดกั้นมัน
- การใช้ประโยชน์จากพลังของถ้อยคำ ส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ที่พบเจอบนโลกใบนี้ได้อย่างใหญ่หลวง ยิ่งคุณมีคำศัพท์ใช้อธิบายความรู้สึกมากเท่าไหร่ คุณก็เข้าใจความหมายถึงความรู้สึกเหล่านั้นได้ง่ายขึ้นในอนาคต
- การช่วยเหลือใครสักคนที่กำลังทุกข์ทรมานอาจทำให้คุณเครียดเพราะกังวลว่าจะพูดในสิ่งที่ไม่เหมาะสม แต่อย่าตีตัวออกจากเขา
- ดูแลตัวเองเพื่อป้องกันการหมดพลัง หาคนที่จะคอยช่วยเหลือคุณและกำหนดขอบเขตของตัวเองให้ชัดเจนและอย่าดูถูกพลังของการรับฟัง
4. ความโศกเศร้า บทที่ 14-17
- ความสุขเศร้าเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ เรารับรู้ความเจ็บปวดได้ทั้งร่างกายและจิตใจ การที่พยายามปิดกั้นความสุขเศร้าอาจจะนำไปสู่ปัญหาที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
- การปฏิเสธความจริงช่วยให้คุณก้าวผ่านความเจ็บปวดอันหนักหน่วงของความโศกเศร้า เมื่อการปฏิเสธความจริงจางหายไป อารมณ์อื่นๆก็จะปรากฏขึ้นมาแทน
- เมื่อคุณรู้สึกโกรธเพราะสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ ให้เราเคลื่อนไหวร่างกาย มันจะช่วยให้เรากลับสู่สภาวะปกติได้ระยะหนึ่ง
- ความซึมเศร้าเป็นปฏิกิริยาปกติที่เกิดขึ้นหลังจากการสูญเสีย
- การยอมรับ หมายถึงการที่เรารู้สึกว่าความเป็นจริงใหม่ที่ต้องเผชิญไม่ใช่เรื่องดีและไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ แต่เราเริ่มอยู่กับมันได้ รับฟังสิ่งที่ตัวเองต้องการ เปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ และสร้างสานสัมพันธ์กับผู้คน
- ความโศกเศร้า คือการพยายามก้าวผ่านความเจ็บปวด เราต้องยอมรับความเป็นจริง มันจะช่วยให้คุณเดินหน้าต่อไป เพื่อทำสิ่งต่างๆที่สำคัญกับคุณ ไม่ว่าคุณจะรู้สึกยังไง ความรู้สึกนั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิด ค่อยๆก้าวไปข้างหน้าทีละนิดอย่างมั่นคง
- หลังสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เราสามารถสร้างชีวิตของเราใหม่ได้ด้วยเวลา ความพยายามและความอดทน
- รับฟังความต้องการของตัวเองให้มากที่สุดระหว่างทางของความโศกเศร้า ไม่มีวิธีถูกหรือผิดในการแสดงความโศกเศร้า ปล่อยวางความคาดหวังว่าคุณจะใช้เวลากับความโศกเศร้านานแค่ไหน
5. ความสงสัยในตัวเอง บทที่ 18-21
- การเรียนรู้ที่จะรับมือกับความวิจารณ์และการไม่เป็นที่ยอมรับโดยวิธีที่เหมาะสมเป็นทักษะชีวิตที่สำคัญอย่างยิ่ง
- การเอาอกเอาใจผู้อื่น หมายถึงการให้ความสำคัญกับความจำเป็นและความต้องการของคนอื่นมากกว่าตัวเอง แม้มันจะมีผลเสียต่อสุขภาพและสุขภาวะของคุณก็ตาม
- ฝึกให้เห็นคุณค่าในตัวตัวเองและความสามารถในการฟื้นตัวจากความอับอายเป็นแนวทางที่ทำได้จริงและอาจเปลี่ยนชีวิตได้เลยทีเดียว
- ถ้าอยากสร้างความมั่นใจ จงก้าวไปยังจุดที่คุณไม่มั่นใจ เมื่อทำเช่นนั้นทุกวัน ความมั่นใจก็จะเติบโตขึ้น
- คุณต้องสร้างความมั่นใจสำหรับแต่ละสถานการณ์ มันจะติดตัวคุณไปเสมอ มันคือความเชื่อที่ว่า คุณสามารถอดทนต่อความกลัวได้ในระหว่างที่ความมั่นใจมันกำลังเติบโต
- ความเจ็บปวดจากความล้มเหลวจะผลักดันให้คุณปิดกั้นมันหรือทำให้ตัวเองด้านชา ดังนั้นแม้ในตอนแรกคุณจะมองไม่ออกว่าตัวเองกำลังรู้สึกเจ็บปวด แต่คุณสามารถสังเกตจากพฤติกรรมของการปิดกั้นของตัวเองได้
- จงเป็นโค้ชของตัวเองและใช้ความล้มเหลวให้เป็นประสบการณ์การ ในขณะเดียวกันก็ก้าวไปข้างหน้าโดยยึดสิ่งที่สำคัญกับตัวเองมากที่สุดเป็นหลัก
- ความล้มเหลวอาจกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองทางอารมณ์ที่หนักหน่วง ดังนั้นจงให้เวลากับตัวเอง
- คนที่ยอมรับและเห็นอกเห็นใจตัวเองมีแนวโน้มที่จะไม่กลัวความล้มเหลวและมีแนวโน้มที่จะลุกขึ้นสู้ อีกครั้ง
6. ความกลัว บทที่ 22-26
- ถ้าอยากต่อสู้กับความกลัว คุณต้องยอมเผชิญหน้ากับมันเสียก่อน การหนีหรือหลีกเลี่ยงทำให้คุณโล่งใจในระยะสั้น แต่มันจะหล่อเลี้ยงความวิตกกังวลให้คงอยู่ต่อไปในระยะยาว
- เมื่อรู้สึกวิตกกังวลกับอะไรบางอย่างโดยธรรมชาติของมนุษย์จะหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น แต่การหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นทำให้ความวิตกกังวลยังคงอยู่
- สมองของคุณจำเป็นจะต้องได้รับการโน้มน้าวโดยการหมั่นทำพฤติกรรมนั้นซ้ำๆ สิ่งที่คุณทำบ่อยบ่อยจะกลายเป็นพื้นที่สบายใจ ถ้าอยากลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับสิ่งใด คุณก็ต้องทำสิ่งนั้นบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
- การหายใจให้ช้าลงและลึกขึ้นจะช่วยให้ร่างกายสงบลง ใช้เวลาสักครู่ในการปรับการหายใจแล้วความวิตกกังวลจะเริ่มลดลง
- คุณสามารถสร้างระยะห่างจากความคิดวิตกกังวลได้ด้วยการระบุอคติทางความคิดที่คุณสังเกตเห็น
- แม้ความวิตกกังวลจะเรียกร้องความสนใจจากคุณต่อเวลา แต่คุณสามารถควบคุม Spotlight แห่งความสนใจได้ด้วยตัวคุณเอง
- การปฏิบัติตัวให้สอดคล้องกับค่านิยมของตัวเองจะทำให้คุณตัดสินใจโดยยึดสิ่งที่สำคัญต่อตัวเองที่สุดเป็นหลัก
- ความกลัวความตายเกิดจากความกลัวในสิ่งที่เรารู้และไม่รู้ การยอมรับความตายไม่ใช่ยอมจำนนต่อชีวิต แต่ช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสติและมีความหมาย
7. ความเครียด บทที่ 27-31
- การที่เรารู้สึกเครียดเป็นเพราะสมองกำลังเตรียมความพร้อมเพื่อช่วยให้เราทำอะไร สมองจะปล่อยพลังงานเพื่อเพิ่มระดับความตื่นตัวและช่วยให้คุณตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมนั้น
- ความวิตกกังวลเป็นการตอบสนองที่ตั้งบนความกลัว ซึ่งนี่เป็นเพียง หนึ่งในรูปแบบการตอบสนองต่อความเครียด
- เราต้องเรียนรู้ ที่จะฟื้นฟูพลังหลังประเชิญกับความเครียด ความเครียดช่วยให้คุณลงมือทำและทำในสิ่งที่สำคัญได้ ความเครียดเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตที่สนุกและท้าทาย แต่ความเครียดที่มากเกินไปจะทำให้ข้อดีเหล่านั้นหายไปได้
- ความเครียดเรื้อรังเปรียบเสมือนการขับด้วยความเร็วบนถนนมอเตอร์เวย์โดยใช้เกียร์ หลังจากขับไปได้ไม่นานเครื่องยนต์ก็จะพัง
- ถ้าสังเกตเห็นสัญญาณของภาวะหมดไฟในตัวเอง จงฟังสัญญาณนั้นให้ดีและจัดการทันที ด้วยการทำสิ่งที่ช่วยบรรเทาต้นตอของสัญญาณดังกล่าว
- การฝึกสมาธิจะส่งผลอย่างยิ่งต่อสมองและวิธีรับมือกับความเครียด
- การสานสัมพันธ์กับคนอื่นช่วยให้เราฟื้นฟูจากความเครียดได้ในขณะที่ความโดดเดี่ยวทางสังคมจะทำให้จิตใจและร่างกายเกิดความเครียดอย่างรุนแรง
- ค้นหาประสบการณ์ที่น่าทึ่งเพื่อปรับเปลี่ยนมุมมองของคุณเอง
- เมื่อคุณมองความเครียดเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ คุณก็จะเลิกพยายามจำกัดความรู้สึกที่เกิดจากความเครียดและหันมาจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ต้องจัดการแทน
8. ชีวิตที่เปี่ยมความหมาย บทที่ 32-36
- สิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขไม่ได้นำมาซึ่งอารมณ์ความรู้สึกที่น่ายินดีเท่านั้น แต่มีทั้งความสุข ความรัก ความเบิกบานใจ ความกลัว ความอับอาย และความเจ็บปวดด้วย
- การรู้ค่านิยมของตัวเองอย่างชัดเจนสามารถช่วยให้คุณตั้งเป้าหมายที่จะทำให้ชีวิตมีความหมายและมีคุณค่าได้
- สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณอยากให้เกิดอะไรขึ้นในชีวิตของตัวเอง แต่อยู่ที่ว่าคุณอยากเป็นคนแบบไหน อยากสร้างประโยชน์อะไร และอยากใช้ชีวิตด้วยทัศนคติใดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
- คนเรามีแนวโน้มจะนึกถึงเป้าหมาย ใหม่ที่ยิ่งใหญ่และสุดโต่งเมื่อตัดสินใจว่าจะลงมือเปลี่ยนแปลง
- เมื่อคุณทุ่มเทเวลาเพื่อคิดและจินตนาการถึงคนที่คุณตั้งใจจะเป็น คุณจะต้องกระทำสิ่งที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน คุณก็จะรู้สึกว่าความพยายามของตัวเองมีความหมายมากขึ้น
- หากพูดถึงชีวิตที่มีความสุข ความสัมพันธ์มีคุณค่ายิ่งกว่าเงินทอง ชื่อเสียง สถานะทางสังคม และพันธุกรรม
- การพัฒนาตัวเองส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ และการพัฒนาเรื่องความสัมพันธ์ก็ส่งผลดีต่อคุณเช่นกัน
- รูปแบบความผูกพันที่เรียนรู้ในวัยเด็กมักถูกแสดงออกมาให้เห็นในความสัมพันธ์ในวัยผู้ใหญ่
- ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการขอความช่วยเหลือเรื่องสุขภาพจิต คือเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณกังวลกับมัน การพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณมีสุขภาพจิตดีขึ้น แต่ถ้าคุณไม่สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญได้ ให้คุณขอความช่วยเหลือจากคนที่คุณรักและไว้ใจแทน
ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ ผมต้องหาเวลาอ่านเล่มนี้อีกรอบ จะได้เข้าใจตัวเองและเข้าใจคนรอบตัวมากขึ้นล่ะครับ🙂…ถ้าผมอ่านเล่มไหนเห็นว่าดี มีประโยชน์ ขออนุญาตมาแชร์ให้ชาวทุ่งม่วงอีกนะครับ🙏❤️
https://image.nostr.build/7806ec7fcceb836d701074e4b33e83bde309457ce51e2b4416d3e18a6c164c57.jpg