-
@ Jakk Goodday
2023-09-01 10:47:15ผมมองออกไปไกลๆ ยังนอกหน้าต่าง...
หลังจากรายการ #สภายาส้ม ตอนที่ 14 พึ่งจบลงไป มันชวนให้ผมอยากร่วมวงสนทนาในหัวข้อ #ExitTheMatrix หรือ #EscapeTheMatrix อะไรนั่นเหลือเกิน.. พยายามคิดว่าผมจะมีเรื่องอะไรมาเล่าได้บ้างนะ..
ไม่.. ผมไม่อยากได้แก้วรางวัลของเทนโด้ มันควรเป็นเพื่อนๆ คนอื่นๆ ในคอมมูนิตี้ #Siamstr ของเราที่ได้ไปครอง แต่ผมเห็นคุณค่าของกิจกรรมนี้อย่างลึกซึ้ง ผมอยากเห็นหลายคนลุกขึ้นมาถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเอง.. นั่นก็รวมถึงตัวผมเองด้วย
นั่นสินะ.. เราไม่เคยเล่าเรื่องของเราให้ใครฟังมาก่อนเลย
เรามีเรื่องอะไรน่าสนใจอย่างงั้นเหรอ? Matrix ของเราจะมีหน้าตาคล้ายคลึงกับ Matrix ของคนอื่นๆ หรือเปล่านะ?
ผมพยายามตีความคำๆ นี้ในแบบของตัวเอง จนพบว่า "Matrix" ในแบบของผม มันคือ "บางอย่างที่อยู่ในหัว" ของผมนี่เอง มันไม่ใช่สิ่งของ วัตถุ คำสั่ง หรือสังคมอะไรทั้งนั้น สำหรับผมมันคือ "ชุดความคิด" ที่ทำให้เรามองโลกใบนี้ในแบบที่ต่างออกไป
ทำไมผมคิดแบบนั้นน่ะเหรอ?
ก็เพราะเมื่อตอนที่เรายังอยู่ท่ามกลาง Matrix และตอนที่เราได้พบว่าตัวเองหลุดออกจากมันมาแล้ว แท้จริงแล้วเรายังคงยืนอยู่บนโลกใบเดิม สังคมเดิมๆ ผู้คนรอบกายหน้าเดิมๆ วัตถุสิ่งของรอบตัวล้วนเหมือนเดิมทุกประการ แต่มันเป็น มุมมอง-ความคิด ของเราต่างหากที่เปลี่ยนไป..
ผมเคยคิดว่าตัวเองหลุดออกมาจาก "Matrix" ได้เมื่อ 10 กว่าปีก่อน
เมื่อครั้งที่ผมกำลังลุ่มหลงกับการลงทุนใน Traditional Investment ผมกลายเป็นนักวิเคราะห์ธุรกิจมือฉกาจ เป็นนักวางแผนคาดการณ์ที่หาตัวจับยากในยุคนั้น (ในแวดวงของตัวเอง) ผมมีโอกาสได้สอนคนดังๆ คนรวยๆ ในเรื่อง "การลงทุนหุ้น", เป็นที่ปรึกษาการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่, การจัดตั้งและบริหารบริษัทต่างๆ ฯลฯ สารพัดเต็มไปหมด
ผมพบว่าตัวเองมีตำราแทบทุกเล่มเกี่ยวกับศาสตร์ในด้านนี้ ผมอ่านเยอะ แตกฉาน และพยายามเผื่อแผ่ ..ซึ่งมันน่าอนาถยิ่งนัก
ถ้าเราเรียกอาการของคนที่กำลังหลงอยู่ในโพรงกระต่ายบิตคอยน์ว่า "Down the Rabbit hole" ตัวผมเองในตอนนั้นก็คงจะเรียกได้ว่า "Deep-down the Fucking (Hell) hole" เลยกระมัง..
ณ ขณะที่เรากำลังคิดว่า "เราเจ๋ง" เหลือเกินนั้น เราไม่เคยรู้ตัวเลยสักนิดว่าเรากำลังดำดิ่งลงไปใน "โพรงแห่งกับดักนรกของโลก Fiat" เรากำลังฆ่าตัวเองอย่างช้าๆ และกำลังผ่องถ่ายพลังงานของเราเพื่อนำไปหล่อเลี้ยงระบบสามานย์นี้ทีละเล็กทีนะน้อย เราที่คิดว่าตัวเองเก่งเสียเต็มประดา กำลังถูกหัวเราะเย้ยหยันจากใครสักคนในมุมมืด
เรามันก็แค่ "หนูตัวใหญ่" ในระบบที่ถูกออกแบบเอาไว้ให้ทุกคนต้องกลายเป็น "เหาในขวดโหล" เพียงเท่านั้น
ความขยะแขยงในภาพอดีตของตัวเอง ทำให้ผมไม่เคยเปิดเผยเรื่องนี้กับใครเลย แม้กับน้องๆ ในทีม Right Shift ก็คงได้ฟังแค่เพียงผ่านๆ ไปคร่าวๆ เท่านั้น ผมเลือกจะลืมเรื่องพวกนี้ให้สิ้น ลบมันออกจากอดีต และทำราวกับว่า.. ผมคือคนที่ไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรในเรื่องพรรค์นี้สักเท่าไหร่..
มันไม่ง่ายที่จะทำแบบนั้น เพราะตัวเราเองก็รู้อยู่เสมอว่าเราเคยผ่านประสบการณ์อะไรมา
ผมเคย "เกลียดงานประจำ" อย่างเข้าไส้ในตอนนั้น ผมแช่งและชังระบบราชการที่ตัวผมเองก็ฝังหนอกอยู่กับมัน ผมมักวิจารณ์ทุกเรื่องรอบๆ ตัว อะไรก็ตามที่ไม่ค่อยเข้าตา ผมไม่เคยรู้สึกว่าระบบราชการจะพัฒนาไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่
ผมเกลียดชังเพื่อนร่วมงานเกือบจะทุกคน ทั้งที่พวกเขาก็ไม่ได้ประพฤติอะไรต่างไปจากตัวผมนัก ผมเองก็ไม่ได้มีอะไรดีไปกว่าพวกเขา เพราะผมได้ก็เอาเงินจากอนาคตมาใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย สนองความต้องการต่างๆ นานาของตัวเองจนสาแก่ใจเหมือนพวกเขาเช่นกัน.. เราพยายามจะเกลียดทุกๆ อย่างรอบๆ ตัวเรา.. เราไม่เคยคิดว่าโลกนี้จะมีอะไรดีเลย
แต่สิ่งเดียวที่เราไม่เคยอยากเกลียด คือ ตัวเราเอง และนั่นแหละคือ "The Matrix" ที่แม่งเหี้ยมโหดและทารุณอย่างที่สุด
เพราะสิ่งเหล่านี้มันทำให้เราต้อง "จมอยู่กับความทุกข์" อย่างแสนสาหัส ทุกข์ที่ไม่ได้มีใครก่อขึ้นมาเลย ก็นอกเสียจากตัวเราเอง
เรานี่เอง คือ ต้นตอของปัญหาทั้งหมดทั้งมวล ที่กำลังรุมสกรัมชีวิตของเราเองอย่างบ้าคลั่ง
เราขยันเติม "พลังลบๆ" เข้ามาในชีวิตแต่ละวัน เราเติมมันด้วยตัวเราเอง และมันถาโถมทำลายจิตใจด้านบวก กัดกร่อนความสุขในการมองโลกของเราลงในทุกเมื่อเชื่อวัน
เรานี่เอง คือ คนที่วาดภาพของโลกอันเสื่อมทรามขึ้นมาในจินตนาการของตัวเอง
เกือบ 10 ปี ที่ชีวิตผมต้องจมอยู่ใน "The Matrix in mind"
ผมเริ่มรู้สึกอ่อนล้า.. ผมผละออกมาจากตลาดหุ้น หนีความวุ่นวายของผู้คน และเริ่มเฟดตัวเองออกจากคนรอบตัว ผมเริ่มหันมาคุยกับตัวเองมากขึ้น นั่งอยู่คนเดียวในแต่ละวัน และไม่พยายามยินดียินร้ายไปกับใคร ผมมีเพื่อนลดลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผมพบว่าผมเหลือเพียงตัวคนเดียว..
ฟังดูราวกับว่า.. การเหลือตัวคนเดียว ไม่น่าจะใช่ทางออกที่ดี
แต่สำหรับผมมันช่างดีเหลือเกิน พลังลบๆ รอบตัวมันเริ่มลดน้อยถอยลงจนในที่สุดมันก็หายไป ผมพบว่า "มันเป็นตัวเรา" นี่เอง ที่พยายามเอาตัวเองไปผูกไว้กับเรื่องของคนอื่น เราเอาตัวเองไปผูกโยงกับทุกเรื่องจนเกินความจำเป็น ทั้งที่เมื่อทำไปแล้วมันก็ไม่เคยจะให้พลังบวกหรือให้ประโยชน์อะไรกับตัวเองสักเท่าไหร่..
ผมได้ "เวลาชีวิต" กลับคืนมามากโข ได้เวลาว่างๆ กลับมาในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันทำให้ผมมองหาสิ่งใหม่ๆ "หลุมกระต่าย" ใหม่ๆ เพื่อพาตัวเองกลับไปหาพลังบวกอีกสักครั้ง..
ผมพบว่าการเลิกบ่นให้กับเรื่องรอบๆ ตัว แล้วพยายามอยู่กับมันให้ได้อย่างคนที่เข้าใจความเป็นไป มันช่วยให้ผม "หัวโล่ง" และมีเวลาไปหาความสุขใส่ตัวในเรื่องอื่นๆ ได้มากขึ้นเยอะเลย
จนกระทั่งผมได้หลงจับพลัดจับผลูเข้าไปในเกมมือถือที่มีชื่อว่า "EVE ECHOES" เกมดังที่พอร์ทมาจากสุดยอดเกมไซไฟอมตะอย่าง "EVE Online" ที่แห่งนี้เอง คือ จุดเปลี่ยนของชีวิตผมอย่างแท้จริง
ประตูบานแรกที่ได้พาผมออกจาก "The Matrix"
มันฟังดูแปลกๆ ที่เกมอย่าง EVE ECHO คือสิ่งที่ให้มุมมองใหม่ ๆ กับผมอย่างมหาศาล
ในวันเริ่มต้น.. ผมพบว่าตัวเองเป็นเพียงนักบินอวกาศตัวเล็กๆ เป็นฝุ่นจางๆ ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ของตัวเกม แต่ในวันสุดท้ายที่ผมจากเกมนี้มา ผมได้พาตัวเองไปอยู่บนจุดสูงสุดของจักรวาลเกม สูงที่สุดเท่าที่เกมเมอร์ไทยสักคน (ในเกมตอนนั้น) จะทำได้.. ผมถูกทาบทามให้เป็น Director ของ Corporation ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเซิฟเวอร์เกม ณ จุดนั้นเองที่ทำให้ผมได้ตระหนักว่าผมเป็นใคร และผมควรพาตัวเองไปทำอะไรต่อจากนี้
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะนำมาเล่าอวดอ้าง มันมีบางอย่างที่ได้กลายมาเป็นไอเดียตั้งต้นของคอมมูนิตี้บิตคอยน์ของเราที่แฝงมากับประสบการณ์เกมของผมในตอนนั้น..
อย่างแรกเลยคือ..
ผมได้ค้นพบในพลังของแพลตฟอร์มอย่าง "Discord" ผมได้อยู่ร่วมกับชาวต่างชาติหลาย Corporation ที่ Role play การเล่น และสร้างคอมมูนิตี้ของพวกเขาขึ้นมาโดยรีดเค้นเอาศักยภาพของ Discord ออกมาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบสุดๆ
พวกเราลองนึกถึงการวางแผนและการจัดการกองทัพอวกาศในสงครามที่มีหลายฝั่งเข้าห้ำหั่นกันออนไลน์ และแต่ละฝั่งก็มีคนเข้าร่วมมากเป็นหลักพันคนดูสิครับ การจัดการกลยุทธ์การรบแบบเรียลไทม์เพื่อให้ทัพของตัวเองมีประสิทธิภาพมากที่สุดแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย และ Discord ได้เข้ามาทำให้ผมได้เห็นทางออกในเรื่องนี้ และผมก็นำเอา Discord มาใช้จนถึงปัจจุบัน
อย่างที่สอง...
ความหมกมุ่นและเอาจริงเอาจังของเกมเมอร์ชาวต่างชาติ มันทำให้ผมได้สติว่า ผมที่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกาจในอดีตช่างเทียบอะไรไม่ได้เลยกับความลุ่มหลงในบางสิ่งบางอย่างแบบที่พวกเกมเมอร์ชาวต่างชาติเขามีกัน ผมได้เรียนรู้หลักการกระจายอำนาจมาอย่างไม่รู้ตัว (ก่อนจะรู้จักลงลึกกับบิตคอยน์เสียอีก) ผมได้เห็นวิธีการ "เชื่อใจ" และทำงานกันเป็นทีม ความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบที่เห็นแล้วก็รู้สึกอายตัวเองเหลือเกิน ผมเห็นถึงวิธีการสร้างชุมชนให้เข้มแข็งและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
นี่มันแค่เกมเองนะ!! มันทำให้ผมอินและมองเห็นอะไรได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?
ใช่ครับ.. มันเป็นไปแล้ว พฤติกรรมมุ่งสู่ความสำเร็จในภาพใหญ่ และยืนอยู่บนกลยุทธ์ที่นำไปสู่ความยั่งยืนของคนเหล่านี้ ได้สอนให้ผมเข้าใจว่าตัวเราเล็กเกินกว่าจะคิดว่าเราใหญ่ เราไม่สามารถทำงานใหญ่ได้ด้วยตัวคนเดียว และชีวิตมันมีอะไรให้เราได้ค้นหาอีกมากมายเกินกว่าที่เราจะเคยจินตนาการกันได้
พวกเขาแทบไม่มีใครทำเพื่อตัวเอง พวกเขาวางแผนการทุกอย่างกันจริงจังเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกันของส่วนร่วม พวกเขาไม่เคยหยุดพยายาม และไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคขวากหนามตามรายทาง ..มันสุดยอดจริงๆ ผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันว่าชีวิตจะได้เจอกับอะไรแบบนี้
และนั่นคือหลักการแนวคิดที่เริ่มติดตัวผมมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เป็นที่มาของวิธีการทำงานบนความสุขเต็มเปี่ยมแบบทีม Right Shift และเป็นส่วนหนึ่งในแนวทางการผลักดันคอมมูนิตี้บิตคอยน์ในแบบที่พวกเราได้เห็นกัน ลากยาวมาจนถึง Nostr ในตอนนี้
อย่างที่สาม..
ผมได้เจอกับ "ผู้ที่ป้ายยาส้มผมคนแรก" ในเกม EVE ECHOES นั่นคือ พี่เป็ด (ped66@rightshift.tp) บิตคอยเนอร์รุ่น OG (ปัจจุบันคือพี่ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของทีมงาน Right Shift) พี่เป็ด คือคนที่ค่อยๆ สอนสอดแทรกหลักสัจธรรมเข้ามาในหัวผมเป็นระยะๆ จนกระทั่งเมื่อเขารู้สึกว่าผมพร้อม พี่เป็ดก็เริ่มปฏิบัติการป้ายยาส้มผมมาทีละนิดๆ
แม้ต้องใช้เวลานานถึง 2-3 ปี กว่าจะ Orange pill ผมได้สำเร็จ กว่าที่ผมซึ่งเต็มไปด้วยแนวคิดเฟียตๆ ในตอนนั้นจะตื่นรู้ แต่ก็นับว่าเป็นความทรงจำล้ำค่าที่ผมคงไม่มีวันลืมไปทั้งชีวิต
The Matrix exit door ถูกเปิดออกนับแต่นาทีนั้น.. นั่นคือจุดเริ่มต้นเรื่องราวของ Jakk Goodday
Exit เมื่อสายไป?
การก้าวออกจาก Matrix ในวัยเกือบๆ 37 (ในตอนนั้น) ผมเองก็เคยต้องกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยๆ อยู่เหมือนกัน - เรารู้จักเรื่องนี้ช้าไปหรือเปล่า? - เรา Exit ช้าไปไหม? - มันจะดีกว่านี้ไหมถ้าเราได้ออกมาจากระบบความคิดเน่าๆ ได้ไวกว่านี้?
อย่ากระนั้นเลย..
ผมพบว่ามันป่วยกาล ที่เราจะมานั่งหาคำตอบเพื่อแก้ไขอดีตที่เราไม่เคยพึงพอใจ อดีตมันมีคุณค่ากับเราเสมอไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย อดีตช่วยสร้างและหลอมเราให้เราได้กลายเป็นตัวเราในวันนี้ อดีตที่เลวร้ายทำให้เรามองเห็นอนาคตที่เราจะไม่มีวันยอมให้ตัวเองเป็นเช่นนั้นอีก อดีตอันสดใสจะคอยตอกย้ำให้เราระมัดระวังในการใช้ชีวิต เตือนสติให้เราไม่ลุ่มหลง ระเริงไปกับความสำเร็จจนหยุดพัฒนาตัวเองหรือเรียนรู้
สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นงดงามเสมอ
หลักการและแนวคิดในทุกแง่มุมที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของบิตคอยน์ มันช่วยให้ผมค้นพบหนทางแห่งการดับทุกข์บนโลกเฟียต มันพาให้ผมออกมาจาก The Matrix ได้เพียงแค่เปลี่ยนความคิดและพฤติการณ์ของตัวเองเท่านั้น
ทุกอย่างรอบกายยังคงเหมือนเดิม..
มันคือสิ่งที่ครั้งหนึ่งเราเคยเรียกมันว่า "The Matrix" มันไม่มีอะไรที่ต่างออกไปจากที่เคยเป็น.. ทุกสิ่งบนโลกยังคงหมุนรอบตัวเราอยู่เสมอ.. สิ่งเดียวที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราหลุดออกมาจากมันได้แล้ว ก็คือ "ชุดความคิด" และ "มุมมอง" ของเราที่เริ่มเปลี่ยนไป..
แค่เปลี่ยนความคิด โลกก็เปลี่ยน..
บิตคอยน์ได้มอบอะไรให้ผมมากกว่าแค่เรื่อง "Wealth"
ถ้าคุณได้รู้จักหรือใกล้ชิดกับผมมากกว่านี้ คุณคงจะพอเข้าใจได้ว่าทำไมผมจึงแทบไม่พูดถึงการลงทุน วิธีหรือแนวทางการลงทุน แม้กระทั่งราคา หรือเทคโนโลยีของตัวบิตคอยน์เลย
เพราะสิ่งเหล่านั้นจะมีความหมายอะไรเล่า.. ถ้าวิธีคิดของเรายังไม่เคยหลุดพ้นจาก Matrix และ เรายังคงถูกครอบงำอย่างเบ็ดเสร็จโดยระบบเฟียต
วันนี้ผมกลายเป็นคนที่ทำตัวติดดินจนหญ้ามาเลย์ยังต้องอาย
- ผมพูดน้อยกับคนรอบตัวในเรื่องไร้สาระ (ที่ผมคิดว่ามันไม่เกิดประโยชน์กับใคร) แต่พูดมากเฉพาะในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น
- ผมชวนให้ทุกคนนึกคนรุ่นหลังมากกว่าตัวเอง ชวนให้ทุกคนสร้าง Legacy บางอย่างทางความคิดเพื่อส่งต่อให้พวกเขามีชีวิตในสังคมที่ดีกว่า
- ผมปัดตกทุกความคิดที่มุ่งสู่ผลกำไรโดยไม่ได้มอบคุณค่าอะไรให้กับผู้จ่ายเลย ทุกความคิดที่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนไม่ใช่สิ่งที่ผมเทิดทูน
- ผมเก็บตำราเก่าๆ ทุกเล่มที่เคยอ่านเข้ากรุไป ต่อหนูเยี่ยวใส่ผมก็ไม่แคร์ ผมกด Delete ทุกความเชื่อที่เคยมีออกจากไขสมอง ถ้าจะมีบ้างที่ผมหยิบเอาหนังสือพวกนั้นออกมา ก็คงเพราะเอามาวางเป็น Prop ในการ LIVE เพียงเท่านั้น
- ผมไม่เคยทำเก่งอีกเลย ถ้าจะต้องทำตัวให้โง่ผมก็ยอมทำ และคอยย้ำเตือนตัวเองเสมอว่าเราก็แค่เพียงคนธรรมดาที่ไม่ได้มีความวิเศษวิโสไปกว่าใคร ผมพยายามทำตัวเองให้เล็กที่สุดเพื่อให้ทำการณ์ใหญ่ได้สำเร็จ
- ผมหยุดหลอกตัวเองว่าเรากำลังมีความสุข ถ้าผมไม่ได้กำลังทำในสิ่งที่จะช่วยให้ผมมีความสุขกับมันได้จริงๆ ผมถามตัวเองทุกครั้งเมื่อต้องลงมือทำบางอย่าง ว่าสิ่งนั้นจะมอบพลังบวกหรือให้พลังลบเข้ามาบั่นทอนเรา
- ผมบอกตัวเองว่าชีวิตมันก็คงหนีไม่พ้นการต้องกด Restart อยู่บ่อยๆ การทำสิ่งใดเพื่ออนาคตที่ดีกว่านั้นไม่เคยสาย มันจะสายก็ต่อเมื่อเราพึ่งคิดได้ในห้วงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต..
- ฯลฯ
ผมได้ฉายาจากน้องๆ ในทีมว่า Jakk 8-hour ก็เพราะผมเป็นคนประเภทที่พ่นออกมาได้เรื่อยๆ หาที่ลงไม่เคยได้ และตอนนี้ผมก็เริ่มได้สติแล้วว่า บทความนี้ชักจะยาวเกินไปแล้ว ผมคงต้องขมวดและปิดท้ายมันได้สักที...
คุณแค่หลับตาลง แล้วนึกถึงความย่ำแย่ของตัวเองในอดีต หาให้เจอว่าอะไรทำให้คุณรู้สึกเป็นทุกข์ เมื่อคุณค้นพบสาเหตุ คุณจะเริ่มบอกตัวเองว่าคุณจะจัดการกับมันอย่างไร เมื่อเข้าใจแล้วจงลืมตาขึ้นมา..
สิ่งที่คุณมองเห็นนับจากนี้จะไม่ใช่ The Matrix อีกต่อไป
อย่าลืมเขียนเรื่องราว #ExitTheMatrix #EscapeTheMatrix ของคุณออกมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้รับรู้ บอกพวกเราว่า Bitcoin ช่วยให้คุณหลุดพ้นได้ยังไง..
เทนโด้รอจะแจกแก้วให้คุณอยู่นะครับ (สวยอะ)