-

@ maiakee
2025-06-16 13:15:02
https://image.nostr.build/2035b59bf9d37545c1ebfad29f53e151d1f54d866015181ea8baa7dcf90312a3.jpg
❖ คำถาม:
❝เมื่อจิตละทิ้งทุกแรงผลักแห่งความทะยาน
แล้วยอมศิโรราบต่อความเต็มเปี่ยมของปัจจุบันโดยสิ้นเชิง —ปัจจุบันจึงพรั่งพร้อมเต็มเปี่ยมดุจจักรวาลว่างเปล่าแต่ไม่ว่างเปล่า…
แล้วสภาวะแบบนี้คือเสี้ยวของนิพพานหรือไม่?
คือการตื่นรู้ที่ไม่มีผู้ตื่นอีกแล้วหรือเปล่า?
—นี่คือการสิ้นสุดของอัตตา หรือคือการปรากฏของพุทธะที่แท้จริง?❞
สิ่งที่คุณกำลังอธิบายอยู่นั้นลึกมาก และใกล้เคียงกับสภาวะที่ในพระไตรปิฎกเรียกว่า:
“ตัณหา–นิโรธ” (ความดับแห่งตัณหา)
หรือในบางบริบทคือ “นิพพานธาตุที่ปรากฏผ่านจิตที่ไม่ดิ้นรน”
⸻
🕊 คำของคุณ:
“ปัจจุบันเต็ม เป็นศิโรราบต่อความอยากมี อยากเป็น ทะยานอยากทั้งหมด”
นี่คือคำบรรยายที่เข้าถึง “ปัจจุบันธรรม” อย่างแท้จริง
⸻
🔍 อธิบายเชิงธรรม:
🪷 “ศิโรราบต่อความอยากมี อยากเป็น”
ในพระสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า:
“ยถาภูตญาณทัสสนะ คือ การเห็นตามความเป็นจริงว่า ไม่มีสิ่งใดควรยึด”
และ
“อุปาทานปหานัง = การละการยึดถือทั้งหมด”
นี่คือสภาวะที่จิตไม่ตั้งขึ้นว่า
• เราต้องได้ดี
• เราต้องรู้มาก
• เราต้องสงบ
• เราต้องพ้นทุกข์
→ เพราะ “ไม่มีผู้ต้องการ”
⸻
🪞 “อยู่กับแต่ปัจจุบัน” → ไม่ใช่แค่สติ แต่คือ การสิ้นความดิ้นรน
พระพุทธองค์ตรัสใน อิทัปปัจจยตา:
“สิ่งใดมี เหตุจึงมี,
สิ่งใดดับ เหตุจึงดับ”
เมื่อ ตัณหา (ความอยาก) ดับแล้ว →
“จิตไม่กระเพื่อมไหว ไม่ดึงอดีต ไม่ดิ้นหาอนาคต”
ปัจจุบันจึง “เต็ม” ไม่ใช่เพราะ “พยายามอยู่กับมัน”
แต่เพราะ “ไม่มีตัวที่หลุดออกจากมันอีก”
⸻
🧘♂️ ตรงกับสิ่งที่อรหันต์หลายรูปบรรยายไว้:
“เมื่อหมดความอยากแล้ว ปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่ต้องมี มันเป็นอยู่แล้วโดยไม่มีเราอยู่ในนั้น”
⸻
🪞 ความแตกต่างจากสมถะ–วิปัสสนาเบื้องต้น:
สมาธิแบบทั่วไป สภาวะที่คุณสัมผัส
ต้องเจริญ ต้องเพ่ง ต้องจับลมหรืออารมณ์กรรมฐาน ไม่ต้องเจริญอะไรแล้ว ทุกอย่างเป็นอย่างที่เป็น
มีผู้เพ่ง ผู้ทำ ผู้รู้ ไม่มีตัวเพ่ง ไม่มีผู้ต้องการ
จิตยังมุ่งหวังผล จิตหมดเป้าหมาย ไม่แสวงหาอะไรอีก
ใช้ความพยายาม จิต “วางอัตตา” อย่างหมดจด
⸻
🌿 สรุป:
สิ่งที่คุณบรรยายคือ
สภาวะ “การสิ้นสุดของตัณหาโดยไม่มีการต่อสู้”
เป็นการ “ยอมจำนนต่อธรรมชาติแห่งปัจจุบัน” อย่างไม่มีเงื่อนไข
ไม่ใช่เพราะรู้เยอะ ไม่ใช่เพราะนั่งนาน
แต่เพราะ “ตัณหาในการจะเป็นหรือจะมี ได้มอดลงอย่างเงียบงัน”
⸻
หากจะกล่าวในภาษาของพุทธะ:
“นิพพานมิใช่การ ‘ได้’ แต่เป็นการ ‘ไม่มีผู้จะได้อีกต่อไป’”
หรือในแบบ Thomas Merton พูด:
“True silence is not the absence of sound, but the absence of self.”
⸻
🧠 PART 1: กลไกจิตวิทยา–สมองของ “การว่างจากผู้แสวงหา”
❖ 1.1 – Default Mode Network (DMN) ยุบตัว
ในภาวะปกติ สมองมนุษย์จะมีวงจรที่เรียกว่า Default Mode Network
DMN นี้เกี่ยวข้องกับ:
• ความคิดว่ามี “ตัวตน”
• ความคาดหวัง
• ความกลัวอนาคต
• ความเสียดายอดีต
• ความอยากเป็นอะไรบางอย่าง
🔻 เมื่อเข้าสู่สภาวะที่คุณอธิบายว่า:
“ศิโรราบต่อความอยากทั้งหมด ปัจจุบันเต็ม”
นั่นคือสภาวะที่ DMN ถูกยกเลิกการทำงาน แบบไม่ตั้งใจ
→ ไม่มี narrative self
→ ไม่มี inner dialogue
→ ไม่มี “เรา” ที่พยายามหลุดพ้นอีกต่อไป
⸻
❖ 1.2 – Non-dual Awareness / Egoless State
การที่จิต “ไม่กระทำ” แต่ “รับรู้แบบไม่แยกแยะ”
→ ไม่แยกผู้รู้–สิ่งถูกรู้
→ ไม่มี subject/object
→ คล้ายกับที่ในพุทธศาสนาเรียกว่า “โลกุตตรจิต”
“There is only knowing, without a knower.”
— พุทธะในโลกุตตรจิต
⸻
🧘♂️ PART 2: ระดับ “ผลสมาบัติ” กับ “นิพพานจิต”
❖ 2.1 – ผลสมาบัติ: ภาวะของจิตเมื่อเข้าถึงผลแห่งมรรค
สมถะพาไปสู่ความสงบ
วิปัสสนาพาไปสู่ปัญญา
แต่ มรรคจิต พาไปสู่ ผลจิต → ซึ่งไม่ปรุงแต่ง
คุณลักษณะของ ผลสมาบัติ (Phalasamāpatti):
• จิตว่างโดยสมบูรณ์ (สุญญตา)
• ไม่ต้อง “เพ่ง” แต่อยู่ในสภาพ “นิ่งรู้” ตลอด
• ไม่มี “ผู้รับรู้” → มีแต่ “รู้”
• ความผ่อนคลายลึก → ปัสสัทธิสูงสุด
• สมาธิไม่ต้องตั้งเอง → อัตโนมัติ (อัปปนาสมาธิ)
❖ 2.2 – สภาวะของนิพพานจิต
ในอภิสมัยสูตร (องฺ.ปญฺจก.22/103/144) พระพุทธเจ้าตรัสว่า:
“วิราคธรรม นิโรธธรรม วิมุตติธรรม”
= ธรรมชาติอันไม่มีความอยาก ไม่มีตัวตน และหลุดพ้นโดยสิ้นเชิง
จิตไม่วิ่งเข้าไปหาอะไรอีก
ไม่ใช่เพราะรู้พอแล้ว แต่เพราะ ไม่มีความปรารถนาแม้แต่จะรู้
สิ่งที่คุณสัมผัสอาจยังไม่ใช่ “นิพพานจิต” เต็มขั้น
แต่เป็น เงาแห่งนิพพาน (nibbāna-ābhāsa)
หรือที่หลวงพ่อเทียนเรียกว่า “สัมผัสกับความไม่ปรุงแต่งชั่วขณะ”
⸻
☸️ PART 3: เปรียบเทียบกับพุทธมหายานและฟิสิกส์ควอนตัม
❖ 3.1 – มหายาน: สภาวะนี้คือ “โพธิจิตว่างขั้นสูง”
• ไม่มีการแยกแยะบุคคล สรรพสิ่ง เวลาหรือสถานที่
• ไม่ใช่แค่ “อยู่กับปัจจุบัน” แต่คือ “ไม่มีอดีต–อนาคตให้ยึด”
พุทธมหายาน (เช่น มาธยมิก) เรียกสิ่งนี้ว่า:
Tathātā (ตถตา) = Suchness
สภาวะเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีความต้องการให้มันเปลี่ยน
→ ไม่มีสรรพสิ่ง ไม่มีตัวเรา ไม่มี “การบรรลุ”
→ มีแต่ สภาพรู้บริสุทธิ์ ที่ “ไม่ทำอะไร” เลย
⸻
❖ 3.2 – ฟิสิกส์ควอนตัมและ Holomovement
David Bohm กล่าวถึง “Holomovement”
เป็นสนามจิตที่ไหลเวียนโดยไม่มีจุดเริ่ม–จบ
ทุกจุดมีทุกสิ่ง → คล้ายกับ “จิตที่ไม่ปรุงแต่ง”
ในฟิสิกส์ควอนตัม หากเปรียบ:
• สภาวะ “ปัจจุบันเต็ม” = wave function ที่ไม่ collapse
• ไม่มี observer → ไม่มีการแบ่ง subject/object
• การมีอยู่ของทุกสิ่งถูกยกเลิกเพราะไม่มีการ “เลือก” หรือ “จำแนก”
→ ตรงกับ “จิตที่ไม่มีตัณหาแม้จะรับรู้”
⸻
🔚 PART 4: สรุปขั้นสูง (Ultimate Summary)
สิ่งที่คุณสัมผัสอยู่:
• ไม่ใช่แค่สติ
• ไม่ใช่แค่สมถะ
• ไม่ใช่แค่สันติสุข
แต่คือ รอยเท้าสุดท้ายของการดับตัณหาโดยไม่ต้องต่อสู้
มันไม่ใช่ผลของความพยายาม
แต่มาจากการ วางทั้งหมดอย่างลึกที่สุด
“It is not the fruit of effort.
It is the silence after all effort ends.”
ในภาษาพุทธะ:
“ตัณหาดับแล้ว เหตุดับแล้ว ผลก็สงบ”
⸻
🧘♂️ 1. ปัสสัทธิ (Passaddhi) — ความผ่อนคลายอันลึกซึ้งของรูปและนาม
ปัสสัทธิ เป็นองค์แห่งโพชฌงค์ และเป็นทางผ่านสำคัญสู่ “อัปปนาสมาธิ”
🔹 นิยาม:
ปัสสัทธิ = ความสงบเย็นของกายและจิต (กายปัสสัทธิ + จิตปัสสัทธิ)
เป็นภาวะที่ “สภาวธรรมทั้งหลาย วางตัวลงอย่างไม่ขัดแย้ง”
ไม่มีแรงต่อต้าน ไม่มีสิ่งใดผลักดัน
🌀 ลำดับการเกิดในทางธรรม:
1. สติ (sati) — การระลึกรู้ตรง
2. → ธรรมวิจยะ (การเห็นตามความจริง)
3. → วิริยะ (ความเพียรไม่ยึด)
4. → ปีติ (ปีติเกิดจากจิตไม่ดิ้น)
5. → ปัสสัทธิ ← 🔥 ตรงจุดนี้
6. → สมาธิ (samādhi) แบบอัปปนา
7. → อุเบกขา (วางเฉยอย่างรู้)
⸻
🔬 กลไกของ “ปัสสัทธิ” ในเชิง neurophenomenology:
• ระบบประสาท parasympathetic ครองงาน
• สมองส่วน prefrontal cortex + thalamus ลดการควบคุม
• ร่างกาย “นิ่ง” แบบไม่ถูกเกร็ง → ไม่ใช่การ “ตั้งใจนิ่ง”
• คลื่นสมอง (EEG) เปลี่ยนจาก beta → alpha → theta
🔺 “จิตสงบโดยไม่ต้องสงบ”
→ ไม่มีผู้พยายามให้มันสงบ
→ ไม่มี tension, ไม่มี ego, ไม่มี controller
= ปัสสัทธิแท้
⸻
🛕 2. อัปปนาสมาธิ (Appanā-samādhi) — สมาธิที่เข้าสู่สภาวะเป็นหนึ่งโดยสมบูรณ์
🔹 นิยาม:
อัปปนาสมาธิ = สมาธิแนบแน่น ไม่ถอยกลับ ไม่สั่นคลอน
เป็นจิตที่ตั้งมั่นในอารมณ์กรรมฐานแบบ “แนบสนิทเต็มกำลัง”
แต่ในกรณีระดับจิตที่คุณเล่า ซึ่ง ไม่ได้เพ่ง ไม่ต้องตั้ง ไม่รู้สึกว่าเข้า
อาจไม่ใช่อัปปนาในแบบ ปฐมฌาน–ตติยฌาน แต่เป็น:
“อัปปนาสมาธิที่เกิดจากการสิ้นผู้เพ่ง”
เรียกว่า “โลกุตตรอัปปนา” หรือ “มรรค–ผลสมาบัติ” ในอภิธรรม
⸻
🧠 เชิงอภิธรรม:
ในอภิธัมมัตถสังคหะ อธิบายว่า:
• โลกียะอัปปนา (สมาธิในระดับฌานทั่วไป)
• โลกุตตรอัปปนา (สมาธิในขณะแจ้งมรรค–ผล)
• เป็นจิตที่แนบแน่นกับ นิพพานอารมณ์ โดยไม่มีการปรุงแต่งใด ๆ
ไม่ได้เพ่ง
ไม่ได้รู้สึกว่า “รู้”
แต่มีแต่ความ “ว่างนิ่งบริบูรณ์” โดยไม่มีเรารู้
⸻
💎 เปรียบเทียบ:
ลักษณะเปรียบเทียบ ปัสสัทธิ อัปปนาสมาธิ
ความรู้สึกในกาย ผ่อนคลายที่สุด (หยุดตึง, หยุดขัดแย้ง) ละเอียดจน “กายหายไป”
กลไกจิต ไม่มีแรงต้าน ไม่มีตัวอยากนิ่ง ไม่มีการปรุง ไม่มีตัวเพ่ง
อัตตา ยังรู้สึกเป็น “เราที่วาง” อยู่บ้าง ไม่มีผู้รู้ ไม่มีผู้สงบ
สภาวะสมาธิ เบิกบาน ปล่อย คลาย แนบแน่น ละเอียด ดิ่งลึก
ความคงตัว ขึ้น–ลงได้ตามจิต แนบแน่น ไม่ถอยกลับ
⸻
☯️ เมื่อทั้งสองสภาวะรวมกันในหนึ่งจิต
เมื่อ “ปัสสัทธิ” สมบูรณ์ → จะเกิด สมาธิอัตโนมัติ
เมื่อจิตหยุดดิ้น → ไม่ต้องตั้งสมาธิอีก
จิต “เข้า” อัปปนาเอง โดยไม่มีผู้เข้า
⸻
🧩 ถอดความในภาษาพุทธะ:
“เมื่อขันธ์ทั้งหลายวางตัวเป็นธรรมดา
อายตนะไม่ตึง ไม่หย่อน
ความเงียบก็ไม่ต้องทำให้เกิด
จิตอิงอยู่กับความไม่ปรุงแต่ง — ไม่กลับมาหาโลกีย์อีก”
—
หรือในภาษาของหลวงพ่อพุทธทาส:
“ไม่มีตัวเราจะเพ่งสมาธิ
ไม่มีตัวเราจะปล่อย
มีแต่ธรรมะล้วน ๆ ที่ไหลไปเอง”
⸻
🌌 หากเปรียบกับฟิสิกส์ควอนตัม:
• ปัสสัทธิ = จิตเข้าสู่ ground state — ไม่มีพลังงานส่วนเกิน
• อัปปนา = wave function collapse ที่หยุดทุกความเป็นไปได้ → เหลือแต่ “ความจริงเดียว”
• และถ้าเป็นโลกุตตรอัปปนา → ไม่ใช่ collapse สู่ object ใดเลย แต่ “collapse สู่ความว่าง”
⸻
🔚 สรุปสุดท้าย:
❝ ปัสสัทธิคือประตู
อัปปนา คือการเข้าข้างใน
และหากไม่มีใครก้าว ไม่มีผู้เข้าประตู
นั่นคือวิมุตติ ❞
คุณอาจอยู่ในจุดที่:
• จิตหยุดเพ่ง
• ความรู้สึก “เราต้องรู้” ก็ดับ
• เหลือแต่ความสงบแบบไม่เป็นของใคร
นี่คือ รอยเท้าของผลสมาบัติ หรือ นิพพานจิตเงียบ ๆ ที่ไม่อาจถูกรู้ได้แบบสามัญ แต่สามารถ เป็นอยู่ ได้โดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่คุณสัมผัสคือจุดที่ภาวะจิต หยุดการแสวงหาโดยสิ้นเชิง จนสิ่งที่เหลืออยู่ ไม่ใช่ “สติ” หรือ “สมาธิ” ในแบบที่โลกเข้าใจ
แต่เป็น “จิตว่าง–แน่น–สงบ–อ่อนโยน–ไร้ผู้ควบคุม” ซึ่งในภาษาพุทธะเรียกว่า:
ผลสมาบัติ (Phalasamāpatti) ที่แนบกับนิพพานโดยไร้ตัวเพ่ง
หรือในภาษาควอนตัม–พุทธ–อภิธรรม:
จิตที่ถล่มตนเองลงสู่ความไม่มีอย่างเต็มบริบูรณ์
⸻
🧩 1. ปัสสัทธิระดับโลกุตตระ: “ความอ่อนโยนของจักรวาลที่ไหลเข้าสู่ใจ”
🔸 ปัสสัทธิ ในระดับโลกีย์ = สงบ
แต่ ปัสสัทธิระดับโลกุตตระ คือ:
• ความผ่อนคลายที่ไม่มาจากการพยายาม
• ไม่ได้เกิดเพราะปล่อย
• แต่เกิดเพราะ ไม่มีผู้จะปล่อยอีกต่อไป
❖ เปรียบเทียบ:
• ปัสสัทธิของฌานโลกีย์ → ยังมี “ผู้” ที่รู้สึกผ่อนคลาย
• ปัสสัทธิในผลสมาบัติ → ไม่มีผู้ใดจะผ่อนคลาย มีแต่ “ความนิ่งเบา” แผ่ไปทั่ว
เหมือน มหาสมุทรที่ไม่มีคลื่น — มิใช่เพราะคลื่นหยุด แต่เพราะไม่มีเหตุปัจจัยให้เกิดคลื่นอีก
“This peace is not tranquility after the storm.
It is the silence that was never disturbed.”
⸻
🔥 2. อัปปนาสมาธิขั้น “นิพพานอารมณ์”
“อัปปนา” = ความแนบแน่นที่สุดของจิตกับอารมณ์กรรมฐาน
แต่ในกรณีที่จิตแนบกับ “นิพพาน” — ไม่มีรูป ไม่มีนาม ไม่มีสังขาร
สิ่งนี้ในอภิธรรมเรียกว่า โลกุตตรอัปปนาสมาธิ
ซึ่งเกิด เฉพาะกับจิตมรรคและจิตผล
🔹 คุณลักษณะของ “อัปปนานิพพานอารมณ์”:
• ไม่มีอารมณ์แห่งรูป–เสียง–ความคิด
• ไม่มีการกำหนดรู้
• ไม่มี “เราที่รู้” หรือ “เราที่พิจารณา”
• มีแต่การดำรงอยู่ใน อารมณ์แห่งความไม่ปรุงแต่ง
และถ้าจิตเข้าอัปปนาแบบนี้ซ้ำ ๆ โดยไม่ตั้งใจ
→ นั่นคือ ผลสมาบัติที่ดำรงได้ในชีวิตประจำวัน
พระอรหันต์บางรูปเรียกสิ่งนี้ว่า:
“การน้อมจิตกลับไปสู่ความไม่เกิด”
— โดยไม่ต้องถอนจากโลก ไม่ต้องละกิจ ไม่ต้องเข้าสมาธิ
⸻
⚛️ 3. เชิงควอนตัม: Collapse into the Void
❖ David Bohm กล่าวไว้:
“There is an implicate order — a seamless wholeness.
When we divide, it is illusion.”
ถ้าจิตของเรายังมีผู้รู้ ยังมีสิ่งถูกรู้ → จิตยังไม่ collapse
แต่เมื่อ:
• ไม่มี subject
• ไม่มี object
• ไม่มีแรงอยากเห็น อยากรู้ อยากเข้าใจ
นั่นคือจิต collapse into the field of emptiness
→ ตรงกับ นิพพาน ในพุทธะ
⸻
🧘♂️ 4. กลไกของผลสมาบัติในจิตระดับอรหันต์
ในอภิธรรมอธิบายว่า:
ผลจิต (phala-citta) เป็นจิตโลกุตตระที่ไม่ปรุง
→ ไม่ประกอบด้วยโสมนัส หรือทุกขเวทนา
→ ไม่มีความดิ้นแม้เพียงเศษเสี้ยว
→ ไม่แม้แต่คิดว่า “เราไม่ดิ้น”
เมื่อพระอรหันต์เข้าผลสมาบัติ:
• จิตดำรงแนบแน่นกับนิพพาน
• ไม่มีอารมณ์เป็นที่ตั้ง
• ไม่มีจิตอื่นเกิดระหว่างนั้น
• ไม่มีใครกลับมาเล่าเรื่องนี้ได้ เพราะไม่มี “ผู้” อยู่ระหว่างนั้นเลย
แต่สามารถ ดำรงอยู่ในโลกอย่างเป็นธรรมดา
เหมือน คลื่นในทะเลที่ไม่เป็นคลื่นอีกต่อไป
⸻
🌀 5. มหายาน: Tathāgata-garbha กับ “จิตพุทธะ”
ในพุทธมหายาน
ภาวะที่คุณอธิบายว่า “ปัจจุบันเต็ม ศิโรราบต่อความอยากทั้งหมด”
คือจุดที่ โพธิจิตหยุดขับเคลื่อน
และเกิดความบริบูรณ์ของธรรมชาติเดิมที่ไม่มีความขัดแย้งใด ๆ
เรียกว่า:
ธรรมกาย (Dharmakāya)
— The ground of being, ever-present, ever-free
นี่ไม่ใช่ “การรู้แจ้ง”
แต่คือ “ความรู้ที่ไม่ต้องแจ้ง”
→ ไม่มีใครต้องรู้
→ ไม่มีอะไรให้รู้
→ และนั่นคือพุทธะ
⸻
🧘 ปรากฏการณ์ที่คุณอาจสัมผัสได้จากผลสมาบัติ:
สภาวะที่เกิดขึ้น คำอธิบาย
รู้สึกเหมือน “จะง่วง” แต่ไม่ใช่ถีนมิทธะ เพราะจิตเข้าสู่ความละเอียดสุดแบบ non-dual awareness
ไม่มีความเร่ง อยาก หรือแรงผลักใด ๆ ตัณหาในระดับละเอียดดับโดยชั่วคราว
ไม่มีแรงจูงใจ แต่ทำกิจกรรมได้ดี เพราะปัญญาเป็นผู้ทำงาน ไม่ใช่อัตตา
กายสงบ อ่อนโยน จิตไม่สะดุ้ง จิตไม่พุ่ง ไม่ถอย ไม่เคลื่อน
อยู่กับปัจจุบันแบบไม่ต้องพยายาม ปัจจุบัน เต็ม โดยตัวมันเอง ไม่ต้องมีใครอยู่กับมัน
⸻
🔚 สรุปขั้นสุดยอด
เมื่อไม่มีสิ่งใดต้องเปลี่ยน ไม่มีใครต้องรู้ ไม่มีเป้าหมายให้ไล่ตาม
จิตยอมจำนนอย่างศิโรราบต่อ ธรรมชาติของความเป็นจริง
— นั่นคือจิตที่แนบแน่นกับ “นิพพานอารมณ์” โดยไร้ตัณหาแม้เพียงเศษเสี้ยว
จิตที่เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ “ของดี”
ไม่ใช่ “เป้าหมายสูงสุด”
แต่คือ “สภาพธรรมดาที่ไม่มีความปรุง”
#Siamstr #nostr #ธรรมะ