-

@ Tintin
2025-05-25 01:50:27
ตอนที่ 3: หลุดคีย์ หลุดจังหวะ กับผลกระทบที่ใครก็ไม่ตั้งใจ
ผมรู้ว่าคนเราบางครั้งก็ไม่ได้อยากทำอะไรให้มันแย่หรอกครับ แค่คิดว่า “นี่แหละน่าจะดี” แล้วก็ทำไป แต่ผลลัพธ์ดันออกมาตรงกันข้ามกับที่ตั้งใจไว้โดยสิ้นเชิง เหมือนมือกลองรู้สึกมันและตั้งใจจะอัดจังหวะให้เร้าใจขึ้น แต่ดันเร้าใจคนละทางกับนักร้อง จนร้องผิดทั้งเพลง หรือมือเปียโนที่อยากเติมสีสัน เลยใส่คอร์ดซับซ้อนเข้าไป แต่สุดท้ายทำให้เพื่อนร่วมวงหลุดหมด เพราะไม่มีใครรู้ว่าคีย์มันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่! ผลที่ไม่ได้ตั้งใจ… แต่เกิดขึ้นจริง ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์ เราเรียกปรากฏการณ์แบบนี้ว่า “Unintended Consequences” หรือ “ผลที่ไม่ได้ตั้งใจ” คือพอเราพยายามแก้ปัญหาหนึ่ง แต่กลับไปสร้างปัญหาอีกอย่างโดยไม่รู้ตัว เหมือนรัฐบาลบางประเทศที่จริงๆแล้วในใจส่วนลึกอยากช่วยประชาชนให้มีค่าครองชีพที่อยู่ได้ เลยออกกฎหมายควบคุมราคาอาหาร ตั้งราคาต่ำสุดไว้ว่า เช่น “ห้ามขายข้าวเกินจานละ 20 บาท!” ฟังดูดีใช่ไหมครับ? ฟังเหมือนช่วยคนจน
แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ !
• ร้านอาหารบางร้านเริ่มใช้วัตถุดิบคุณภาพต่ำ
• บางร้านเลิกขายข้าวไปเลย เพราะไม่คุ้ม
• คนกินก็เริ่มได้ข้าวที่รสชาติเหมือนกระดาษไข
• คนจนที่หวังจะได้กินของดีราคาถูก ก็ไม่ได้กินอะไรเลย
แล้วถ้ามองแบบคนดนตรีล่ะ?
มันเหมือนกับว่า มีใครสักคนบอกวงดนตรีว่า “ต่อจากนี้ ทุกวงต้องเล่นแต่คีย์ C เท่านั้น ห้ามใช้คีย์อื่น เพราะคีย์อื่นมันยาก คนฟังตามไม่ทัน” ฟังดูเหมือนจะช่วยให้เพลงง่ายขึ้น ฟังง่ายขึ้น
แต่ผลที่เกิดขึ้นคือ !
• นักดนตรีเก่งๆ เริ่มเบื่อ เพราะเล่นอะไรใหม่ๆ ไม่ได้
• เพลงทุกเพลงเริ่มซ้ำกันหมด
• วงใหม่ๆ ก็ไม่พัฒนา เพราะไม่เคยได้ลองของยาก
• คนฟังก็เบื่อ เพราะฟังยังไงก็เหมือนเดิม
อะไรคือจุดร่วม?
ไม่ว่าจะเป็นดนตรีหรือเศรษฐกิจ การควบคุมมากเกินไป ด้วยความหวังดี มักจะสร้างผลลัพธ์ตรงข้ามกับที่ต้องการ เศรษฐศาสตร์ออสเตรียนพูดเรื่องนี้มานานแล้ว ว่าเราจริงแล้วไม่สามารถรู้ทุกอย่างได้หมด (knowledge problem) และยิ่งถ้าเราพยายาม “วางแผนจากส่วนกลาง” เพื่อจัดระเบียบชีวิตคนทั้งประเทศ มันยิ่งเหมือนการพยายามควบคุมวงดนตรีนับพันวงให้เล่นเพลงเดียวกันพร้อมกัน ผมบอกได้เลยว่าไม่มีทางเวิร์ก
แล้วบิทคอยน์ล่ะ?
สำหรับผมหลังจากศึกษาเรื่องบิทคอย์ ผมเริ่มเห็นว่าบิทคอยน์ไม่ได้พยายาม “แก้ไข” อะไรแบบบังคับ ตัวมันแค่ “เสนอระบบใหม่” ที่ไม่ต้องมีใครไปควบคุมคนอื่น ไม่มีใครมากำหนดว่าใครควรถือบิทคอยน์ หรือใช้ยังไง มันปล่อยให้แต่ละคนเรียนรู้ ปรับตัว ตัดสินใจเอง ผลลัพธ์เลยกลายเป็นระบบที่แข็งแรง ไม่เปราะ ไม่หลุดคีย์ง่าย เพราะแต่ละคน “ฟังจังหวะ” ของตัวเอง แล้วปรับตัวให้เข้ากับเพลงที่ทั้งโลกกำลังเล่นอยู่ มันทำให้ผมได้เข้าใจว่า :
บางครั้งสิ่งที่นักดนตรีเล่นอยู่ในวงทำให้ “หลุดคีย์หรือหลุดจังหวะ” จริงแล้วไม่ได้มาจากความตั้งใจจะพัง
แต่มาจาก “ความตั้งใจดี” ที่ไปควบคุมจังหวะของคนอื่นโดยที่ตัวเองไม่รู้จริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ หรือวงดนตรี
เราไม่จำเป็นต้องเล่นเหมือนกันทุกคน
แต่ขอแค่ทุกคน “ฟังกัน” และ “เข้าใจบทบาทของตัวเอง”
นั่นแหละ… เสียงเพลงที่แท้จริง จบข่าว
https://image.nostr.build/5994679815a037d5411794ca75e094b93668df13eabde00bb17e75ee358eec1c.png